ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ร่วมเดินไปยังสถานที่ที่เกี่ยวเนื่อง กับองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พร้อมเรื่องราวความสำคัญ ศิษยานุศิษย์ที่เข้ามาฝากตัว เป็นสานุศิษย์ถักทอสู่ "กองทัพธรรมพระกรรมฐาน" โดยเว็บมาสเตอร์ www.luangpumun.org และสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ ศิษยานุศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จากรายการ แฟนพันธุ์แท้ 2018

เมนูหลัก ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น คลิ๊ก

จำพรรษาวัดร้างป่าแดง หลวงปู่เจี๊ยะ ผ้าขี้ริ้วห่อทอง
วัดป่าอาจารย์มั่น อ.พร้าว จ.เชียงราย พ.ศ.
2482
ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ตอนที่ 43


กุฏิจำลององค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต สร้างในบริเวณตำแหน่งที่ตั้งกุฏิเดิมที่ผุพังไป (รูปจาก โครงการท่องเที่ยวโดยชุมชนตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)

          ภายหลังจากออกพรรษาปี พ.ศ. 2481 องค์หลวงปู่มั่น จาริกออกจากวัดเจดีย์หลวง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ มีบันทึกว่าท่านได้มาร่วมงานกฐินที่ชาว อ.พร้าว ได้นิมนต์ท่าน ต่อจากนั้นท่านได้ไปวิเวกที่ดอยพระเจ้า พอถึงช่วงเข้าพรรษาในปี พ.ศ. 2482 ท่านได้มาจำพรรษายัง วัดร้างป่าแดง บ้านแม่กอย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ในพรรษานี้คาดว่าน่าจะมีศิษย์จำพรรษาหลายรูปโดยมี หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ อาวุโสที่สุดในส่วนของพระลูกศิษย์ พร้อมด้วย พระอาจารย์ทองปาน ส่วนพระรูปอื่นไม่มีการบันทึกที่ชัดเจน

          ออกพรรษาผ่านมาแล้ว จนถึงช่วงต้นปี พ.ศ. 2483 หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท ขณะนั้นท่านได้อุปสมบทได้ 3 พรรษา ท่านภาวนาอยู่ที่ วัดป่าทรายงาม จ.จันทบุรี ได้ลิ้มรสผลการภาวนา ต้องการจะมารายงานผลให้องค์หลวงปู่มั่นทราบ ได้เดินทางจาก จ.จันทบุรี พร้อมด้วย ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก มายังวัดร้างป่าแดง ซึ่งเป็นการได้กราบยอมตนเป็นศิษย์ต่อองค์หลวงปู่มั่น เป็นครั้งแรกของท่านทั้งสอง เรื่องราวจากบันทึกประวัติขององค์หลวงปู่เจี๊ยะ ได้ทำให้เห็นถึงจริยาวัตร อุบายการสอน ความอดทนขององค์หลวงปู่มั่น ในปีสุดท้ายที่องค์หลวงปู่มั่น พำนักในภาคเหนือ

          เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นับตั้งแต่หลวงปู่เจี๊ยะได้มาถึง กราบเรียนเรื่องที่ภาวนา ต่อจากนั้นท่านได้ถวายอุปัฏฐากองค์หลวงปู่มั่น ซึ่งขณะนั้นอาพาธ จนเมื่อทางวัดเจดีย์หลวง ได้นิมนต์องค์หลวงปู่มั่น มาร่วมงานฉลองหน้ามุขพระวิหารหลวง แต่องค์หลวงปู่มั่นยังอาพาธหนักอยู่ ทางวัดเจดีย์หลวงจึงได้นิมนต์มารักษาพยาบาล โดยองค์ท่านประสงค์จะไปบำบัดการอาพาธด้วย "ธรรมโอสถ" นับตั้งแต่องค์หลวงปู่มั่นจาก อ.พร้าว มายังวัดเจดีย์หลวง ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2483 ท่านก็มิได้กลับมายัง อ.พร้าว อีกเลยนับตั้งแต่บัดนั้นจนองค์ท่านมรณภาพที่ จ.สกลนคร ในอีกสิบปีต่อมา

           จากประวัติหลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง โดย พระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร ได้ให้รายละเอียดเหตุการณ์ ณ วัดร้างป่าแดง ที่ต่อมา คือ วัดป่าอาจารย์มั่น อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ในช่วงปี พ.ศ. 2483 ตั้งแต่หัวข้อที่ 1-7 และความเป็นมาของการบูรณะฟื้นฟูวัดร้างป่าแดงให้เป็นวัดป่าอาจารย์มั่นที่เป็นอนุสรณ์ถึงพ่อแม่ครูอาจารย์ในปัจจุบัน ได้ให้รายละเอียด ดังนี้

หลวงปู่เจี๊ยะ.pdf - Adobe Acrobat Reader (64-bit)
หนังสือประวัติหลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง ได้บันทึกเรื่องราวในปีสุดท้ายขององค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ในภาคเหนือ (รูปจาก เว็บไซต์วัดป่าภูผาสูง)

1. ออกพรรษาหลวงปู่เจี๊ยะมารายงานผลการปฏิบัติ

          ถ้าเราพูดว่า เราไม่สนใจในทรัพย์สมบัติเหล่านั้น เพราะสมบัติเหล่านั้นด้อยค่ากว่าธรรมสมบัติที่เราเห็น แม้สมบัติล้ำค่าเช่นนั้น จะมากองเท่ากับภูเขาเลากา แล้วเอามาแลกเปลี่ยนกับธรรมที่เรารู้ได้ เราก็ไม่เอา การพูดว่าไม่เอา คนทั้งหลายในโลกที่มักจะละโมบโลภมาก ต้องไม่เชื่ออย่างแน่นอน เราต้องพูดกับคนที่รู้เห็นอย่างเดียวกัน คือพุทธสาวกที่รู้ธรรมเห็นธรรมอย่างเดียวกัน

ฉะนั้นองค์ท่านพระอาจารย์มั่นน่าจะเป็นสักขีพยานแห่งธรรมได้เป็นอย่างดี เมื่อพูดเมื่อคิดเช่นนี้ จึงเร่งฝีเท้าต่อไป

เมื่อเดินทางถึงบ้านแม่กอย ถามคนเขาบอกว่า ท่านพักอยู่ที่วัดร้างป่าแดงนั้น ก็รีบเร่งเดินทางเข้าไปกระหายใคร่เห็นใคร่สนทนา มากกว่าการกระหายน้ำ ลืมความเหน็ดเหนื่อย มุ่งตรงเข้าไปยังวัดร้างป่าแดง มีกระท่อมน้อยๆ มุงหญ้าคา ฝ่าขัดแตะและใบไม้ พื้นไม่ไผ่ ดูๆในสถานที่น่าจะมีพระอยู่กันหลายองค์ เพราะสะอาดสะอ้านเหลือประมาณ บ้านเราอยู่เป็นสิบคน ที่แคบๆ ยังไม่สะอาดเท่านี้น่าจะมีพระอยู่จำนวนไม่น้อย


กุฏิที่หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ได้เคยมาพักในคราวผ้าป่าช่วยชาติ ณ วัดป่าอาจารย์มั่น ในปี พ.ศ. 2546 (รูปโดย Admin)

2. กราบท่านพระอาจารย์มั่นที่วัดร้างป่าแดง

เมื่อเราเดินเข้าไปตรงกระท่อมหลังที่มองเห็นก่อนนั้น มีพระรูปหนึ่งรูปร่างเล็กๆ ลักษณะองอาจเป็นเถระรูปร่างสันฐานสันทัด ผิวดำแดง นั่งห่มจีวรเปิดไหล่ แสดงอาการให้เห็นว่ารอใครบางคนอย่างเห็นได้ชัด อยู่บนแคร่น้อยๆ ใช้ไม้ไผ่ขัดแตะ เอาหญ้าคามุงกั้นฝาเป็นฟาก หันหน้ามาทางที่จะเดินเข้าไป แสดงอาการว่าสนใจในคนที่มาแต่ไม่แสดงออกทางคำพูด แต่เป็นกิริยาที่รับกัน

ใจในขณะนั้น น้อมนึกขึ้นมาทันทีว่า "นี่แหละหลวงปู่มั่น" นึกต่อไปอีกว่า "ท่านคงรู้วาระจิตของเราเป็นแน่แท้ จึงมานั่งรอ พระเถระรูปที่นั่งอยู่นี้ต้องเป็นท่านพระอาจารย์มั่น จะเป็นองค์อื่นไปไม่ได้" จึงตรงดิ่งเข้าไปกราบท่าน ที่เรากระหายใคร่อยากจะพบเห็น

ในขณะที่เราเข้าไปหาท่านนั้นเข้าไปแบบจู่โจม ต้องไม่ใช่ใครที่ไหนที่สามารถรู้เหตุการณ์ในอนาคตได้ว่าใครจะไปจะมา ต้องเป็นท่านพระอาจารย์มั่นอย่างแน่นอน

เราหมอบเข้าไปกราบ ท่านจึงถามขึ้นว่า "มาจากไหน"

"มาจากจันทบุรี อยู่กับท่านอาจารย์กงมา ท่านอาจารย์ลี" เรากราบเรียนท่าน

"ท่านลี ท่านกงมา อ้อ! นั่นลูกศิษย์เรา" ท่านพูดแบบอุทานเหมือนว่า รู้เข้าใจในวิถีความเป็นมาเป็นไปของเรา

จากนั้นเมื่อได้โอกาสอันควร จึงกราบเรียนเล่าเรื่องที่ภาวนาที่จิตเป็นไปให้ท่านฟังสั้น ๆ เป็นใจความว่า... "ครูบาจารย์ กระผมพิจารณากาย จนใจนี้มันขาดไปเลย"

องค์ท่านนั่งฟังเฉย นิ่งเงียบไม่คัดค้านในสิ่งที่เล่าถวายแม้แต่คำเดียว กราบเรียนท่านต่อไปอีกว่า

"ครูบาจารย์...จะให้ผมทำอย่างไรต่อ"

"ให้ทำอย่างเดิมนั่นล่ะ ดีแล้ว" ท่านตอบสั้นๆ แต่เป็นที่พอใจ ตรงใจ

เพราะฉะนั้น อย่างท่านพระอาจารย์มั่น ท่านจึงเป็นคณาจารย์ หรือเรียกว่าเป็นครูบาอาจารย์ที่สมควรแก่สานุศิษย์เมื่อผู้ใดเข้าไปศึกษาสิ่งหนึ่งประการใดอย่างนี้ ก็ขอให้ไปเสนอเถอะ เราได้ค้นคว้าพินิจพิจารณาร่างกาย จนละเอียดลออไปทุกส่วน ทุกชิ้น ทุกอัน จนได้สภาวะของใจ ได้ลงถึงความจริงประจักษ์ใจ โลกทั้งหลายนี้ไม่มีปรากฏขึ้นกับใจ ขาดสูญไปหมด อยู่จำเพาะใจอันนั้นอันเดียว ไม่มีสิ่งใดที่เจือปน ไม่มีเจือปนอยู่ในใจนั้น

แล้วเรานั้นก็ได้เอาสิ่งเหล่านี้ไปนมัสการครูบาอาจารย์ท่าน ไปเล่าถวายความเป็นไปให้ท่านฟัง ตั้งแต่เบื้องต้นในการค้นคว้าพินิจพิจารณา จนกระทั่งถึงที่สุดของการค้นคว้าพิจารณาอย่างนั้นลงไปแล้ว ในสภาวะของใจลำดับนั้น มันขาดพึ่บลงไป โดยที่คล้ายๆ ขาดสติ แต่ไม่ใช่ขาดสติ มันก็ปรากฏโลกทั้งหลายขาดลงไป ไม่มีอันใดเลย แม้แต่ร่างกายของเราอย่างนี้ก็สูญหายไปหมด เหลือความบริสุทธิ์ของใจอันเที่ยงแท้ อันเดียว ก็เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วเข้าไปเรียนถาม

ท่านก็บอกว่า "เออ! เอาอย่างนั้นแล ให้พิจารณาอย่างนั้นดำเนินต่อไปเรื่อยๆ" นี่! ท่านไม่มีการคัดค้าน ไม่มีการโต้เถียง หรือไม่มีการที่จะกระโตกกระตากอะไรทั้งหมดเลย เพราะฉะนั้น คติอันนี้จึงเป็นคติอันดีเยี่ยม

เพราะฉะนั้นจึงว่าบรรยายธรรม ศาสนธรรม คำสั่งสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระพุทธองค์จึงตรัสว่า "จิตฺตํ ทนต์ สุขาวห" บุคคลผู้ฝึกจิตใจที่ได้ดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้ของหัวใจ เพราะเมื่อผู้ฝึกหัดอบรมจิตใจจนได้รับความเยือกเย็น จนเข้าสู่แดนของปัญญาอันแท้จริงอย่างนั้นแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่จะมาเจือปนหัวใจ ให้มีความเศร้าหมองขุ่นมัว ตลอดทั้งวันทั้งคืน ทั้งยืน เดิน นั่ง นอน ตลอดเวลาอย่างนั้น ใจนั้นแสนที่จะสบาย ปลอดโปร่งอยู่ตลอดเวล่ำเวลาอย่างนี้ นั่นเรียกว่า ธรรมอันแท้จริงของพระพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระศาสดาของเรา เมื่อท่านได้ถึงธรรมอย่างแท้จริงอย่างนี้แล้ว ท่านจึงได้มาพิจารณาสัตว์โลก ว่าเต็มไปด้วยความหมกมุ่น เต็มไปด้วยความวุ่นวาย แสนที่จะกังวลนานาประการต่างๆ เมื่อมองอย่างนั้นแล้ว ทำไมสัตว์ทั้งหลายจะสามารถประพฤติปฏิบัติธรรมได้หนอ ครองบ้าน ครองเรือน เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ขัดข้องนานาประการอย่างนี้ เมื่อน้อมใจพิจารณาอีกทีหนึ่ง

ก็มาพิจารณาดูว่าสัตว์ทั้งหลาย คงมีอุปนิสัยปัจจัย ที่สามารถจะบรรลุคุณธรรมของเราคงมีบ้าง ผู้มีกิเลสน้อยก็พอมีอยู่ ด้วยความอนุเคราะห์พระพุทธองค์จึงทรงแสดงธรรม

ก่อนที่จะเรียนถามท่านพระอาจารย์มั่น มันคิดในใจลึกๆ อยู่เหมือนกันว่า ถ้าท่านคิดค้าน เราก็จะต่อสู้ด้วยเหตุผลเต็มที่เช่นกัน จะไม่ยอมถอยง่ายๆ เพราะในใจนี้ มันแน่ใจในสิ่งที่รู้เห็นมาก เมื่อมันรู้เห็นกระจ่างชัดเช่นนี้ ใครค้านก็ต้องเถียง แต่ท่านรู้ท่านไม่ค้าน เพียงแต่บอกว่าดีแล้ว ทำอย่างนั้นดีแล้ว หมายความว่า ทำถูกแล้วให้ดำเนินต่อไป

          เมื่อเราเข้ามาหาครูบาอาจารย์แล้ว หวังความศึกษาในท่าน ก็ควรเอาใจใส่อุปัฏฐากท่านในกิจทุกอย่าง ถวายน้ำล้างหน้า น้ำบ้วนปาก ไม้สีฟัน ขวนขวายป้องกัน หรือระงับความประพฤติอันเสื่อมเสียที่จักมีแก่ท่าน รักษาน้ำใจท่าน ไม่คบคนนอกให้เป็นเหตุแหนง เคารพในท่าน แสดงการเดินไม่ชิดนัก ไม่ห่างนัก และไม่พูดสอดในขณะที่ท่านกำลังพูด ท่านพูดผิดไม่ค้านจังๆ พูดอ้อมพอให้ท่านรู้สึกตัว ไม่เที่ยวเตร่ตามอำเภอใจ จะไปข้างไหนให้ลาท่านก่อน เมื่อท่านอาพาธเอาใจใส่พยาบาลไม่ไปข้างไหนเสีย จนกว่าท่านจะหายเจ็บหรือมรณะ

นี่แหละวัตรบางส่วนที่เธอผู้ฝ่าน้ำทะเลมาต้องศึกษาและปฏิบัติ


ภายในวัดป่าอาจารย์มั่น บ้านแม่กอย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ในปัจจุบัน (รูปโดย Admin)

3. ท่านพระอาจารย์มั่นรู้วาระจิต

เมื่อรับฟังโอวาทจากท่านพระอาจารย์มั่นด้วยความซาบซึ้งแล้ว ต่างก็เข้าสู่ที่พักด้วยใจที่แข็งแกร่ง แต่ด้วยอากาศที่หนาวเหน็บเข้าไปภายในนั้น ทำให้เนื้อตัวสั่นเทา มีแต่เพียงจีวรบางๆ เป็นที่ห่อหุ้มร่างกาย เมื่อตกดึกๆนอนไม่หลับ จึงเดินเข้าไปหาท่านเฟื่อง แล้วกระซิบท่านเบาๆ อันเป็นการหยั่งเชิงดูหมู่เพื่อน ว่าจะเป็นไปอย่างไร คิดอย่างไร ว่า

"เฟื่องเว้ย... หนาวเว้ย...กลับบ้านดีกว่า..."

ท่านเฟื่องก็นิ่งเฉย ไม่ตอบแต่อย่างใด ส่วนภายในใจของเรานั้น ก็ไม่ได้ถอยแต่อย่างใดเช่นเดียวกัน

พอรุ่งเช้าวันใหม่ มองเห็นลายมือพอรู้ มองดูชายหญิงพอออกว่าเป็นชายหรือหญิง มองต้นไม้ออกว่าเป็นต้นไม้อะไร ก็ออกจากที่พักอันเป็นเพิงเล็กๆ มุงด้วยใบตอง มีหลังคาพอกันน้ำค้าง ที่นอนก็เป็นแคร่ไม้ไผ่โยกเยก ๆ เดินมากระท่อมน้อยอันเป็นศาลาหอฉัน

พอท่านพระอาจารย์มั่นเห็นหน้าเท่านั้นแหละ เหมือนดั่งว่าสายฟ้าฟาดลงบนกระหม่อมทันที

"คนทะลงทะเลไม่มีความอดทน ไป...ไป ไม่มีใครอาราธนามาที่นี่"

ท่านพูดเสียงดุดัง นัยน์ตาก็กราดกร้าวเหมือนพญาเสือโคร่งใหญ่ เป็นกิริยาที่หมู่แมวๆ อย่างพวกเราต้องมอบคลาน ก้าวขาก็ไม่ออก เรื่องวาระจิตนี่ ท่านรู้ทุกอย่าง จะพูดจะคิดอะไรอยู่กับท่านต้องระวังประมาทไม่ได้เป็นบาปใหญ่ เพราะท่านเป็นพระอรหันต์ เมื่อตั้งสติไว้ กำหนดไว้ได้แล้วค่อยก้าวเท้าเดินต่อไปด้วยความนอบน้อม

คำพูดของท่านเพียงเท่านั้นล่ะ มันวนเวียนอยู่ในใจ จะคิดอะไร จะพูดอะไร เหมือนถูกคนสะกดบังคับให้ต้องเป็นไปตามแบบของท่าน ก็ได้แต่เพียงเตือนตนไว้ในใจว่า

"เอาละนะ เจอของจริงแล้ว ระวังตัวให้ดี" จากนั้นมา ท่านก็เมตตาใช้ทำนั่นทำนี่ ดูแลอุปัฏฐากใกล้ชิดท่าน จิตใจก็ค่อยคุ้นๆ กับท่าน สบายใจขึ้นบ้างจึงย้อนนึกถึงคำพูดท่านพ่อลี ก่อนที่จะมาว่า

"ท่านจะอยู่กับหลวงปู่มั่นได้หรือ? ทุกขณะจิตของท่านองค์หลวงปู่ใหญ่ ท่านจะทราบหมด ถ้าจะไปอยู่กับท่าน อย่าให้เสียชื่อเรานะ"

การที่ได้อยู่กับพระที่สมบูรณ์ทั้งความรู้ภายใน และความประพฤติ นับว่าเป็นโชคอย่างมหาศาล การอยู่การฉัน ก็นับว่าลำบากมากในสายตาของชาวโลก แต่ถ้าเป็นนักธรรม ถือว่าสมบูรณ์พอดีๆ วัดมันเป็นวัดกลางทุ่ง มีชาวบ้านอยู่ ๖ หลังคาเรือน บ้านห่างจากวัดประมาณ ๕๐๐ เมตร

กุฏิครูบาจารย์ท่านมุงด้วยใบตองตึง พื้นเป็นฟากไม้ไผ่ รูปลักษณ์เป็นทรงพื้นเมืองทางเหนือ ส่างน้องแม่วิสาข์ เป็นคนมาทำกุฏิถวายท่าน (ส่าง หมายถึง ผู้เคยบวชเป็นเณร เป็นภาษาไทยใหญ่)

          เมื่ออยู่นานเข้า ด้วยบุญบารมีของท่าน ก็เริ่มมีคนรู้จักและนับถือมากขึ้นเรื่อย ๆ ปากต่อปากร่ำลือถึงกิตติศัพท์เกียรติคุณ ทำให้ผู้คนอยากพบเห็น จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ท่านไม่อยู่ที่นี่นานนัก

ท่านเป็นพระทรงธรรมทรงวินัย เคร่งครัดในวัตรปฏิบัติโดยสม่ำเสมอ ไม่ปลีกแวะเป็นอย่างอื่นท่านถือหลักธรรมเป็นทางเดิน มีพระวินัยเป็นกรอบเส้นถนน ที่ไม่ควรลืมเนื้อลืมตัว

อยู่มาวันหนึ่งโยมแม่วิสาข์ซึ่งเป็นอุปัฏฐายิกาประจำวัด เป็นผู้คอยจัดแจงอาหารมาถวายท่านเป็นประจำทุกๆ เช้า ได้หอบหิ้วเอาต้นผลไม้ คือต้นมะม่วงประมาณ ๒-๓ ต้น เข้ามาปลูกภายในวัด ในบริเวณใกล้ ๆ กับกุฏิที่ท่านพำนัก ท่านพระอาจารย์มั่นท่านจึงทักขึ้นว่า

"ฮื้อ...ทำอะไรหรือโยม"

"ฉันเอาต้นไม้มะม่วงมาปลูก... มีลูกมีผลจะได้เอาไว้กิน ถวายพระ ไม่ต้องซื้อหา...เจ้าค่ะ"

ท่านพระอาจารย์จึงดุว่า "นี่...เห็นเราเป็นอย่างนี้แล้วหรือ เรามาอยู่เพื่อปฏิบัติธรรม ห่างไกลจากโลกภายนอก ไม่เกี่ยวข้องด้วยปัจจัยทั้งหลาย อันเป็นเครื่องพันพัวผูกมัด ไม่ได้มาหาอยู่หากิน หาต้นมะม่วง มะเขือ นี่จะมาหาเรื่องให้เราแล้วนะเนี่ย ต่อแต่นี้ไปเราก็จะกลายเป็นหลวงตาเฝ้าสวนมะม่วงแล้วหรือนี่"

          อันนี้ก็เป็นมูลเหตุอันหนึ่ง ที่ท่านไม่ต้องการจะอยู่ที่แห่งนั้น ท่านปฏิบัติธรรมปฏิบัติจริงๆ ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรื่องของโลกโดยประการทั้งปวงแม้เราทั้งหลายมองเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยแล้วมองผ่านไป สำหรับองค์ท่านเองพินิจพิจารณาใคร่ครวญโดยตลอด ไม่ให้เรื่องโลกๆ เข้ามาเกี่ยวข้องกับองค์ท่านเองได้ พระจึงมีชีวิตเป็นอยู่ด้วยอาศัยผู้อื่นแล้ว ควรจะตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่ควรแย่งหน้าที่ของชาวโลกมาทำเอง

เรื่องธรรมเรื่องวินัยท่านละเอียดเป็นที่สุดแม้แต่ต้นไม้ประดับประดา ปลูกให้มีดอกออกผลสวยงาม ท่านไม่ให้ปลูกภายในวัด ถ้าเป็นพระท่านว่าเป็นพระเจ้าชู้ พระขุนนาง ชอบสวยงาม ชอบสะดวกสบาย แต่ภายในหัวใจไม่มีอรรถธรรมแม้แต่น้อย ต้นไม้งามเท่าไหร่ ใจมันก็เสื่อมจากทางจงกรม นั่งสมาธิเท่านั้น

ในขณะที่ท่านพระอาจารย์มั่นได้มาพักปฏิบัติธรรรม ณ วัดร้างป่าแดงแห่งนี้ ได้มีลูกศิษย์ของท่านที่เป็นพระกรรมฐาน เดินทางตามมารับการอบรมทางด้านจิตตภาวนาโดยสม่ำเสมอมิได้ขาด เช่น

          พระอาจารย์เทสก์ เทสรงสี, พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ, พระอาจารย์พรหม จิรปุญโญ, พระอาจารย์แหวน สุจิณโณ, พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร, พระอาจารย์สิม พุทธาจาโร ฯลฯ (ขณะที่พูดถึงท่านพระอาจารย์มั่นทีไร หลวงปู่เจี๊ยะจะแสดงอาการซาบซึ้งตื้นตันใจทุกครั้ง ด้วยความรักและเลื่อมใสท่านพระอาจารย์มั่นมาก บางทีถึงขนาดน้ำตาไหลก็มี เพราะท่านถึงใจกับท่านพระอาจารย์มั่นมากที่สุดในชีวิตหลวงปู่เจี๊ยะท่านบอกว่า"เรารักเลื่อมใสท่านเพราะท่านปฏิบัติดีแท้")

ท่านตัวเล็กๆ บางๆ เดินเร็ว เดินนี้ โอ๊ย! ปิ้ดๆ ปิ้ดๆ ท่านจะอบรมพระตอนหัวค่ำหน่อยแล้วก็เลิก คือพอได้เวลา 5 ทุ่ม ก็เข้าจำวัด ให้ทำข้อวัตรเป็นอย่างนั้น อบรมประมาณชั่วโมง สองชั่วโมงส่วนมากไม่ค่อยได้อบรม ภาวนาของใครของมัน ท่านพระอาจารย์ท่านจะเดินจงกรมก่อนนอนเป็นประจำไม่ขาด

การบิณฑบาตตอนอยู่กับท่าน บางทีก็แยกกันไปคนละสาย โดยมากเราไม่ค่อยกิน มือเขาสกปรก(หัวเราะ) แล้วมากำข้าวเหนียว ดำๆ ว้าย! แล้วมาโดนที่อุบลฯ ที่เป็นขี้ฑูตนะ มือมันกุดน้ำเหลืองไหล มันใส่มา พอเราออกมาได้หน่อย ก็จับโยนทิ้งเลยข้าวเหนียว มือมันกุด น้ำเหลืองมันหยดใส่บาตร ข้าวมันติดน้ำเหลืองเราก็โยนทิ้งเลย (หัวเราะ)

หลวงปู่เจี๊ยะ.pdf - Adobe Acrobat Reader (64-bit)
ทันตธาตุองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ที่หลุด ณ วัดป่าอาจารย์มั่น องค์ท่านได้มอบให้หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท ปัจจุบันประดิษฐาน ณ ภูริทตฺตเจดีย์ วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี (รูปจาก หลวงปู่เจี๊ยะ พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง)

4. ฟันท่านพระอาจารย์มั่นหลุด

อยู่ต่อมาอีก 3-4 วันตอนใกล้จะพลบค่ำ ได้นำน้ำล้างหน้าใส่ขันไปถวายท่านประมาณ 6 โมงเย็น ท่านใช้ไม้ชำระฟัน พอดีฟันข้าง ๆ ท่าน(หลวงปู่มั่น) หลุด ท่านเอาให้เรา

"เอ้า!...ท่านเจี๊ยะเอาไป"

แล้วท่านก็ยื่นให้ การที่ท่านมอบฟันให้ ท่านคงรู้ได้ด้วยอนาคตังสญาณว่า เราจะมีวาสนาสร้างเจดีย์บรรจุทันตธาตุถวายท่านเป็นแน่แท้

หลวงปู่เจี๊ยะ.pdf - Adobe Acrobat Reader (64-bit)
หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน และหลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท องค์หลวงปู่มั่น ได้ทำนายถึงพระหนุ่มที่จะทำประโยชน์ใหญ่ในอนาคตให้องค์หลวงปู่เจี๊ยะได้ทราบ ต่อมาหลวงปู่เจี๊ยะได้คาดว่า พระรูปนั้นที่องค์หลวงปู่มั่นกล่าวถึง คือ หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน  (รูปจาก หลวงปู่เจี๊ยะ พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง)

5. ท่านพระอาจารย์มั่นทำนายเรื่องหลวงตามหาบัว

มีอยู่คราวหนึ่ง ตอนที่อยู่เชียงใหม่ก่อนกลับภาคอีสาน ท่านพระอาจารย์มั่นท่านพูดว่า

"มีพระอยู่องค์หนึ่งนะ จะทำประโยชน์ใหญ่ให้หมู่คณะ ลักษณะคล้ายๆ ท่านเจี๊ยะ แต่ไม่ใช่ท่านเจี๊ยะ ตอนนี้อยู่เชียงใหม่ เขาอยากมาหาเรา แต่ยังไม่เข้ามาหาเรา องค์นี้ต่อไปจะสำคัญอยู่นะ (พอดีหลวงตามหาบัวเป็นพระหนุ่มกำลังเรียนบาลีอยู่ที่วัดเจดีย์หลวงเชียงใหม่ตอนนั้น) เขายังไม่มาหาเรา แต่อีกไม่นานก็จะเข้ามา"

เมื่อท่านพูดอย่างนั้นเราก็จับจ้องรอดูอยู่ ไม่ว่าใครจะไปจะมาก็คอยสังเกตอยู่ตลอด เพราะคำพูดของท่านสำคัญนักพูดยังไงต้องเป็นอย่างนั้น เรื่องนี้เราจึงเก็บไว้แล้วคอยสังเกตตลอดมา เพราะผู้ที่จะมาสืบต่อท่าน ต้องเป็นผู้ที่มีบุญใหญ่ ในที่สุดพระอาจารย์มหาบัวก็มาหาท่านที่เสนาสนะบ้านโคก จังหวัดสกลนคร เราเห็นลักษณะถามความเป็นมาเป็นไป จึงแน่ใจเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นมาท่านพระอาจารย์มั่นก็ไม่พูดเรื่องนี้อีกเลย (เรื่องคำทำนายของท่านพระอาจารย์มั่นเกี่ยวกับหลวงตามหาบัวนั้น เป็นเรื่องจริงดังที่พวกเราชาวพุทธได้เห็นอยู่ในปัจจุบัน)

หลวงปู่เจี๊ยะ.pdf - Adobe Acrobat Reader (64-bit)
หลวงปู่เจี๊ยะ.pdf - Adobe Acrobat Reader (64-bit)
หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน และหลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท ในวัยชรา (รูปจาก หลวงปู่เจี๊ยะ พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง)

ตอนนั้นเรายังเด็กเป็นห่วงท่านมาก อยากให้ท่านฉันเพราะตอนนั้นอายุก็เกือบจะ 70 ปีแล้ว รูปร่างผอมบางเล็ก แต่เวลาเดินนี่ที่หนึ่งเลย

โอ้โฮ!..........เวลาเดินนี่ที่หนึ่งเชียวนะ เวลาใกล้ค่ำนี่ พั่บๆ พั่บๆ เรานี้ต้องกระโดดวิ่งเลย สะพายบาตรให้ ท่านถือไม้เท้าอันหนึ่งเดินไว ฉับๆ เวลาท่านไปธุดงค์ตามป่า ท่านเดินเราต้องวิ่งตาม

ถ้าวันไหนท่านพระอาจารย์มั่นอดอาหาร อะไรๆ ท่านก็ไม่ฉัน มีอยู่อย่างเดียวสูบบุหรี่ใบตอง แล้วก็มีน้ำชาแก้วหนึ่ง น้ำชากับน้ำธรรมดาเท่านั้น ท่านผอม บางวันเราเป็นห่วงก็ต้องไปถาม

"ครูบาจารย์... ฉันข้าว"

ท่านก็ว่า "ฮื้อ... ก็ไม่ใช่หน้าที่เรา"

"ครูบาจารย์...ฉันข้าวเถอะ"

"ฮื้อ... ยุ่งอะไร"

"เกิดมาเป็นคน ไม่กินข้าวไม่รู้จะเกิดมาทำไม"

"ท่านนี่..ไป.. ไป.. อย่ามายุ่ง ไม่ใช่เรื่องตัว" ท่านดุเอาทุกที

พอออกมาจากท่านพระอาจารย์มั่น ท่านเฟื่องก็ว่า "ท่านเจี๊ยะ... วันไหนๆ ก็ไปแหย่แต่ท่านพระอาจารย์มั่น ไม่ทำให้ท่านดุไม่ได้หรือ ผมกลัวจะตายอยู่แล้ว"

"ไม่แหย่ท่าน จะได้ฟังธรรมะดี ๆ หรือ"

          การสอนของท่านไม่พูดมาก ชอบทำให้ดู ให้เห็นว่าสิ่งนี้ควรทำอย่างนี้ สิ่งนั้นควรทำอย่างนั้น ก็เหมือนในหนังสือประวัติของท่าน และในหนังสือปฏิปทาพระธุดงค์กรรมฐานที่ท่านอาจารย์มหาบัวเขียนไว้อันนั้นชัดเจนมาก สำหรับเราดูไปเห็นความดีที่ท่านทำ มากกว่าความดีที่ท่านพูด

เราจึงจดจำเอามาพูดไม่ได้มากนัก อีกทั้งก็ไม่ใช่คนช่างพูดช่างเขียนช่างจำ แต่ชอบนำมาทำมากกว่า การนำมาพูด จึงเป็นเรื่องรองๆ ลงไป ส่วนเรื่องทำได้เต็มที่ แต่การพูดเมื่อนำมาพูดแล้วมันไม่เต็มที่เพราะพูดมากๆ มันจะเป็นการคุยโม้ไป เราจึงพูดไม่ค่อยเก่ง ไม่ได้เรียนมาทางพูด เน้นทางการกระทำมากกว่า

ไปถึงท่านทีแรก ท่านก็สอนเรื่องศีล ศีลนั้นเราผู้บวชมาเป็นพระ ต้องดำเนินการรักษาเต็มที่สุดชีวิตอยู่แล้ว ผู้ที่จะเป็นพระไม่มีศีลก็อยู่ไม่ได้ พระขาดศีลเหมือน อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายขาดบกพร่องไป การทำอะไรในหน้าที่ทั้งปวงรู้สึกว่าจะทำไม่ได้เต็มที่ ยิ่งร่างกายพิการมากเท่าใดยิ่งทำอะไรไม่ได้การมากเท่านั้น คนขาดศีลก็เหมือนกัน ยิ่งศีลขาดมากเท่าใด ความเจริญในธรรมก็มีน้อยลงไปเท่านั้น

เพราะศีลเป็นเครื่องหนุนในการประพฤติธรรมทั้งปวง แต่สำหรับพวกเรา เมื่อมีศีลบริบูรณ์ไม่เป็นที่ระแคะระคายใจ จะมีศีลอยู่เฉยๆไม่ได้ ศีลจะบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นๆจะต้องชะล้างด้วยน้ำคือคุณธรรม มีความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความสงัด ความเป็นผู้ไม่สั่งสม (กองกิเลส) ความปรารภความเพียร และความเป็นผู้เลี้ยงง่าย เป็นต้น ก็จักเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ดี และข้อวัตรทั้งหลายก็จงปฏิบัติให้ถึงพร้อม ศีลและพรตก็จะหาโทษมิได้ อาจจัดได้ว่า พวกเราอยู่ในอริยวงศ์ อันเป็นประเพณีของพระอริยเจ้าแล้ว

หลวงปู่เจี๊ยะ.pdf - Adobe Acrobat Reader (64-bit)
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท (รูปจาก หลวงปู่เจี๊ยะ พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง)

          ในสมัยที่เรากำลังแข็งแรง ได้ออกเที่ยวโดดเดี่ยวเดียวดาย แสวงหาแต่ที่วิเวกในป่าดงพงลึกไม่มีอาลัยเสียดายในชีวิตความเป็นอยู่ อยู่บนภูเขาสูง ๆ ที่ผู้คนติดตามยาก ส่วนมากเป็นที่อยู่ของพวกมูเซอ และยังทำให้ชนเหล่านี้สามารถเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาได้

ท่านพระอาจารย์มั่นปฏิบัติกิจวัตรประจำวันเป็นอาจิณ เพื่อแบบอย่างแก่สานุศิษย์และพร่ำสอนสานุศิษย์ให้ปฏิบัติเป็นอาจิณวัตรต่อไปนี้

เวลาเช้า ออกจากกุฏิทำสรีระกิจ คือ ล้างหน้า บ้วนปาก นำบริขารลงสู่โรงฉัน ปัดกวาดลานวัดแล้วเดินจงกรม

พอได้เวลาภิกขาจาร ก็ขึ้นสู่โรงฉัน นุ่งห่มเป็นปริมณฑล สะพายบาตรเข้าสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต

กลับจากบิณฑบาตแล้ว จัดแจงบาตร จีวร แล้วจัดอาหารใส่บาตร นั่งพิจารณาอาหารปัจจเวกขณะทำภัตตานุโมทนา คือ ยะถาสัพพีฯ เสร็จแล้วฉันจังหัน ฉันเสร็จแล้วล้างบาตรเก็บบริขารขึ้นกุฏิทำสรีระกิจพักผ่อนเล็กน้อย แล้วลุกขึ้นล้างหน้า ไหว้พระ สวดมนต์และพิจารณา ธาตุ อาหาร ปฏิกูล-ตังขณิกะ-อตีตปัจเวกขณะ แล้วชำระจิตจากนิวรณ์ นั่งสมาธิ

พอเวลาบ่าย 3-4 โมง กวาดลานวัด ตักน้ำใช้ น้ำฉันมาไว้ อาบน้ำชำระกายให้สะอาดปราศจากมลทิน แล้วเดินจงกรมจนถึงพลบค่ำจึงขึ้นกุฏิ

เวลากลางคืนตั้งแต่พลบค่ำขึ้นไป สานุศิษย์ทยอยกันขึ้นไปปรนนิบัติ ท่านได้เทศนาสั่งสอนอบรมสติปัญญาแก่สานุศิษย์พอสมควรแล้ว สานุศิษย์ถวายการนวดเฟ้นพอสมควรแล้ว ท่านให้เข้าห้องไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ แล้วพักนอนประมาณ 4 ทุ่ม เวลาตีสามตื่นนอน ล้างหน้าบ้วนปากแล้วปฏิบัติอย่างในเวลาเช้าต่อไป

กิจบางประการ เมื่อท่านมีลูกศิษย์มากและแก่ชรา แล้วก็อาศัยศิษย์เป็นผู้ทำแทนเช่น การตักน้ำใช้ น้ำฉัน เพราะเหน็ดเหนื่อยเนื่องจากชราภาพ ส่วนกิจอันใดเป็นสมณประเพณีและเป็นศีลวัตรกิจนั้นท่านปฏิบัติเสมอเป็นอาจิณมิได้เลิกละ

ท่านถือคติว่า "เมื่อมีวัตรก็ชื่อว่ามีศีล ศีลเป็นเบื้องต้นของการปฏิบัติ"

ท่านกล่าวว่า "ต้นดี ปลายก็ดี ครั้นผิดมาแต่ต้น ปลายก็ไม่ดี"

ท่านกล่าวว่า "ผิดมาตั้งแต่ต้น ฮวงเม่าบ่อมี"

อุปมารูปเปรียบเหมือนอย่างว่า "การทำนา เมื่อบำรุงรักษาลำต้น ข้าวดีแล้ว ย่อมหวังได้แน่ ซึ่งผลดังนี้" ท่านจึงเอาใจใส่ตักเตือนสานุศิษย์ให้ปฏิบัติศีลวัตรอันเป็นส่วนเบื้องต้น ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์เสมอ

อบรมพระ ท่านอบรมตอนหัวค่ำหน่อยแล้วก็เลิก คือพอได้เวลา 4 ทุ่ม อบรมครั้งหนึ่งก็ประมาณ 2 ชั่วโมง เสร็จก็แยกย้ายกันไปภาวนา ส่วนมากท่านไม่ค่อยอบรม ให้ภาวนาของใครของมันไป

เมื่อภาวนามีปัญหาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องอะไรก็มาถามท่าน ท่านก็จะชี้แจงให้ฟัง

หลวงปู่เจี๊ยะ.pdf - Adobe Acrobat Reader (64-bit)
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท (รูปจาก หลวงปู่เจี๊ยะ พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง)

6. ตีวัวกระทบคราด

อยู่กับท่านพระอาจารย์มั่นเรานี้โดนตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ หัวเราชิงรับศอกของท่านโดยตลอด (หัวเราะ) บางทีไม่มีเรื่องมีราวอะไรเลย บางทีไม่เกี่ยวข้องแต่ก็ต้องโดนท่านดุเอาบ่อยๆ บางทีน้ำตาไหลก็อดทนเอา อย่างบางครั้งพวกพระเข้ามาศึกษากับท่าน พวกพระที่มาท่านก็ไม่กล้าว่าเขา หรืออาจจะเกรงใจเขา หรืออะไรอย่างอื่นที่เหนือสิ่งนั้น ที่ท่านรู้แต่เราไม่รู้ ท่านก็เอาเรานี่แหละ เป็นกระโถนท้องพระโรง เอาเรานี้แหละไปไล่ด่าแหลก ด่าจนแหลกไปเลย

วันนั้นที่แม่กอย วัดร้างป่าแดงนั่นแหละ โอ้โฮ้!... เราเข้าไปกวาดทางไปส้วม กวาดจนดีหมดแล้ว จนไม่มีที่จะให้กวาด ยังเหลือตรงที่บ่อมันลึกๆ ก็เอาไม้กวาดโกยไม่ขึ้น

ท่านเดินไปดู ดูตรงนั้น ดูตรงนี้ คือหาดูจนหมดทุกที่ คงไม่มีที่ให้ท่านดุ

ท่านหาดูเสร็จแล้ว เดินมาหาเรื่องใส่เราน่ะ อันนี้แร่วท่านตีวัวกระทบคราด เพราะตอนนั้นมีพระมาอยู่ใหม่ๆ นั่งคุยกันทั้งคืนๆ ท่านเดินมาเห็นเราเข้าเดินดิ่งปราดเข้ามาหาเลย ถามขึ้นอย่างดังว่า

"เจี๊ยะโว้ย!..นี่!....นี่ใครเอาเทียนตรงนี้ไปหมด แล้วไอ้ที่ตรงคลองน้ำข้างทางไปส้วม ใครฮึ...ใครกวาด..ฮึ"

ท่านก็รู้แล้วว่ามีพระใหม่ๆ มากัน ๓-๔ องค์ เอาเทียนไปจุดนั่งคุยกันจนเกือบสว่าง มาถึงคุยกันตลอดเกือบสว่าง ไม่ภาวนาแต่ขยันคุยกัน พระห่า...นั้นก็ดี

          ทีนี้ด่าคนอื่นไม่ได้ ต้องด่าเรา เอาอีกแล้วนึกในใจ พอเรากราบเรียนบอก

"ในร่องผมกวาดหมดแล้วนะครูบาจารย์"

แหม! ทีนี้ก็ด่าเรา ด่าเอา ด่าเอา ยังไม่ทันได้ตั้งตัวรับ

"ข้ามหัวท่านกงมา (พระอาจารย์กงมา) ข้ามหัวท่านลีมา (พระอาจารย์ลี) มาแล้วก็ต้องทำให้ดี ถ้าทำไม่ดี ก็อย่าอยู่นะ ไป๊!... ให้รีบไป อย่ามาอยู่นะ ถ้าเป็นแบบนี้ ไป!... ไป๊!..." เอาใหญ่เลยเสียงดัง พวกพระเหล่านั้นก็ตกอกตกใจ มองหน้ากันเลิ่กลั่กแตกหนีกันใหญ่

"โอ้!...ท่านเจี๊ยะโดนแล้ว" ก็แตกฮือกันหนี ที่แท้ท่านตีวัวกระทบคราดให้พระเหล่านั้นสำนึก ยังไม่มีใครรู้อีก หยาบหนาเหลือเกิน ยังมาโทษหัวเราะเราอีก ไม่เห็นโทษของตัวเห็นแต่โทษคนอื่น

ท่านพระอาจารย์มั่น ท่านดุเราอย่างนี้บ่อยๆ เราก็เสียใจเหมือนกัน บางทีก็คิดน้อยใจ

"เอ๊ะ!ทำไมด่าเราอย่างนี้น้อ.." แต่เมื่อพินิจพิจารณาด้วยเหตุผลก็ลงท่าน เพราะเรารักท่าน

          ส่วนไอ้พวกพระมาใหม่ยังไม่รู้เรื่องอีก พากันขโมยเอาเทียนไปจุดกันทั้งคืน ถึงตี ๓ ยังไม่พอ ยังมาพากัน "โอ้โฮ!ๆ" ...ตำหนิแต่เรา ไม่รู้จักน้อมเข้ามาใส่ตน

นี่แหละท่านพระอาจารย์มั่น ท่านตีคนอื่นไม่ได้ ท่านก็ต้องตีลูกศิษย์ สอนลูกศิษย์อย่าให้เป็นอย่างนั้น อย่าทำตนอย่างพระพวกนั้น พระพวกนั้นก็ดี อุตส่าห์มาหาท่าน ท่านสอนแล้วยังไม่รู้ว่าท่านสอน ไม่รู้จักคิด ไม่รู้ว่ามาหาธรรมะแบบไหน อย่างนี้แหละ ท่านตีคนอื่นไม่ได้ ก็ต้องตีลูกศิษย์คือตีเราแทน เราต้องคอยเอาหัวชิงรับศอกท่านเป็นประจำ

ได้อยู่กับท่านพระอาจารย์มั่น ที่วัดร้างป่าแดง บ้านแม่กอย ตำบลเวียง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่นั้น ในระยะ ๒ เดือนแรก ใกล้จวนจะถึงวันมาฆบูชา สมเด็จมหาวีรวงศ์ ตอนนั้นเป็นเจ้าคุณราชกวี (พิมพ์) วัดเจดีย์หลวง ได้มีหนังสือไปนิมนต์ท่านพระอาจารย์มั่นให้ลงมาร่วมกับสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า (ชื่น สุจิตโต) แต่ในขณะนั้นท่านพระอาจารย์ (มั่น) ได้ป่วยเป็นไข้มาลาเรียอย่างแรง แพทย์ไม่รับรองในอาการ

ท่านพระอาจารย์มั่นจึงมีหนังสือให้เราลงไปทำหน้าที่แทน ท่านสั่งว่า "ท่านเจี้ยะ ..ไปร่วมพิธีแทนหน่อยและกราบทูลสมเด็จฯถึงความเป็นไปต่าง ๆ ด้วย"

 


รูปเหมือนองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ณ วัดป่าอาจารย์มั่น บ้านแม่กอย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ (รูปโดย Admin)

7. รักท่านพระอาจารย์มั่น

เราก็รับด้วยเกล้าไปทำพร้อมทั้งน้ำตา เดินทางไปก็เป็นกังวลใจอยู่ตลอด กลัวผู้ปฏิบัติใกล้ชิดจะไม่รู้จริตนิสัยของท่าน เราทำทุกอย่างเพื่อท่านด้วยชีวิตไม่มีเหน็ดเหนื่อยทั้งกายใจ ทะนุถนอมระวังรักษาประคับประคอง เอาใจใส่ดูแลท่านทุกอย่าง กิจวัตรทุกอย่างต้องพร้อม และตั้งใจทำทุกขณะกายจิต อุทิศชีวิตเพื่อท่านเสมอมา แม้แต่บิดามารดาเรายังไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อน อาบน้ำท่าให้

          นวดแขนขา ซักผ้า ต้มน้ำ เช็ดถูบริขารเครื่องใช้ให้สะอาดสดใสดูดีตลอด ไม่ให้ทุกอย่างรอดจาก การปฏิบัติเพื่อขัดธรรมภายใน อุทิศด้วยใจในขณะทำอย่างซาบซึ้ง พึงระวังไม่ประมาทหรือคลาดเคลื่อน ไม่เคยมีระแคะระคายเหนื่อยหน่ายใจว่าทุกข์ยากลำบากแค้น นึก ๆ ไปมันก็แปลกอยู่เหมือนกัน

เมื่อเราไปทำหน้าที่เสร็จตามคำสั่งของท่าน เราจึงรีบกลับไปปฏิบัติรับใช้ท่านทันที เราคงมีบุญมีกรรมกับท่าน ถึงเราจะทะเร่อทะร่าท่านก็ไม่เอื้อมระอา อีกทั้งยังเมตตาเสมอ ไม่ให้เป็นที่ละอายใคร นึกกิริยาน้ำใจที่อยู่กับท่านเมื่อไหร่ มันเตือนใจข้างในลึก ให้ตื้นตัน ตื้นใจ

บางทีน้ำตาไหลไม่รู้ตัว ยิ่งเพ่งพิศในกิริยากิจที่พร่ำสอน ไม่รู้จักหน่ายเหนื่อย ยิ่งนึกก็ยิ่งพิจารณาว่า ผู้มีบุญใหญ่อย่างท่านเช่นนี้ไม่มีเลยที่จะเคยแสวงหาความสุขอันเจือด้วยโลกามิสเพื่อตน ลำบากที่สุด ทุกข์ยากที่สุด คือท่านพระอาจารย์มั่น ท่านเป็นอาจารย์ของเรา

พระกรรมฐานสมัยทุกวันนี้ อาศัยบุญบารมีของท่านเป็นเวทีหากินสบาย แต่ธรรมภายในนั้น อย่าสนทนากันเลยเพราะหาไม่เจอ ในชีวิตของเรามีบุญมากที่สุดคือ ได้เจอท่านพระอาจารย์มั่น

ท่านเป็นบุคลาธิษฐาน เรื่องศาสนธรรมของพระศาสดาได้เป็นอย่างดี เทวบุตร ภูต ผี สัมภเวสี ท้าวสักกะ มาสักการะท่านเสมอ เราเคยเจอและเรียนถาม...

ท่านพระอาจารย์มั่นป่วยเป็นไข้มาลาเรียในคราวนั้น เราเป็นพระคิลานุปัฏฐากประจำองค์ท่าน ปกตินิสัยท่านไม่ชอบเกี่ยวกับหยูกกับยาอะไร แม้ท่านจะอยู่ในวัยชราธาตุขันธ์กำลังร่วงโรยก็ตาม ท่านยังหนักในธรรมโอสถ เป็นเครื่องประสานธาตุขันธ์อยู่เสมอมา

          เมื่อเดินทางจากวัดร้างป่าแดง บ้านแม่กอย อำเภอพร้าว มาถึงนครเชียงใหม่ เข้ามาพักที่วัดเจดีย์หลวงก่อน แล้วท่านก็เดินทางเข้าไปพักที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิค หนานแดง หนานพรหม และศรัทธาชาวเชียงใหม่ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่านจัดการเรื่องทั้งหมด

โรงพยาบาลแมคคอร์มิคนี้เป็นโรงพยาบาลที่ทันสมัยที่สุดในนครเชียงใหม่ เป็นโรงพยาบาลของพวกชาวคริสต์ที่มาเผยแผ่ศาสนาสมัยก่อนใครจะเข้าโรงพยาบาลนี้ต้องมีหน้ามีตาพอสมควร

เมื่อท่านออกจากโรงพยาบาลแมคคอร์มิคไปพักที่ป่าเปอะ เรา(พระเจี๊ยะ) ได้แยกเดินทางไปที่วัดร้างป่าแดง บ้านแม่กอย เพื่อกราบเรียนอาการอาพาธของท่านพระอาจารย์มั่นให้พระอาจารย์พรหม จิรปุญโญ ในสมัยนั้นพระอาจารย์พรหมเป็นหัวหน้าสำนักแม่กอย

ในตอนกลางคืน พระอาจารย์พรหมก็เรียกประชุมสงฆ์ ท่านสอบถามในท่ามกลางสงฆ์ว่า

"เอ้า! หมู่ ...ท่านรูปใดจะรับอาสาไปปฏิบัติครูบาจารย์" เรา(พระเจี๊ยะ) จึงยกมือขึ้นว่า "ผมครับ จะเป็นผู้อาสาไปปฏิบัติครูบาจารย์" ท่านก็ถามต่อว่า "แล้วใครอีกองค์ล่ะ" เห็นแต่พระนั่งเงียบไม่กล้าไป มัวแต่กลัวท่านพระอาจารย์มั่นมาก เพราะท่านทั้งน่าเกรง น่ากลัว น่ารัก

เรา(พระเจี๊ยะ) เห็นเฒ่าตาเปียก (ท่านทองปาน) นั่งอยู่ข้างๆ คุ้นกันดีตั้งแต่อยู่วัดทรายงาม จึงชักชวนว่า "เฮ้ย!...ไปปฏิบัติครูบาจารย์ด้วยกัน" เราทั้งสองจึงเป็นผู้ที่ตกลงจะไปปฏิบัติท่านพระอาจารย์มั่น

ตกลงกันกับเฒ่าตาเปียกว่า พรุ่งนี้ฉันข้าวเสร็จแล้ว เราก็จะออกเดินทางด้วยเท้าเข้าไปเชียงใหม่ ... (พระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร, 2547, 96-116)

ต่อจากนั้น องค์หลวงปู่มั่นได้ไปพักที่วัดเจดีย์หลวง และไปบำเพ็ญรักษาการอาพาธด้วย "ธรรมโอสถ" ณ ป่าเปอะ อ.สารพี จ.ลำพูน เป็นเวลาประมาณ 1 เดือน จนหายอาพาธ ท่านจึงกลับมาพักวัดเจดีย์หลวง แล้วจึงเดินทางไปภาคอีสาน ในช่วงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2483 จึงเป็นช่วงเวลาสุดท้ายขององค์หลวงปู่มั่นในภาคเหนือ รวมระยะเวลา 12 ปี

No_06กรรมฐาน้านนา1.pdf - Adobe Acrobat Reader (64-bit)
หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เมตตารับผ้าป่าช่วยชาติ ณ พระมหาธาตุมณฑปอนุสรณ์บูรพาจารย์พระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ณ วัดป่าอาจารย์มั่น บ้านแม่กอย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ เนื่องในโอกาสฉลองพระมหาธาตุมณฑปฯ วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 (รูปจาก พระกรรมฐานสู่ล้านนา ตอน 1)

8. จากวัดร้างป่าแดงสู่วัดป่าอาจารย์มั่นในปัจจุบัน

          จากบันทึก โดย รศ.ดร.ปฐม-ภัทรา นิคมานนท์ ได้ให้รายละเอียดความเป็นมาในการฟื้นฟูบริเวณที่องค์หลวงปู่มั่น และคณะพระกรรมฐานได้เคยมาพำนักจำพรรษาอยู่ ซึ่งภายหลังเมื่อพระคณาจารย์ได้กลับคืนสู่ภาคอีสานไปแล้ว สำนักแห่งนี้ได้ร้างลงอีกครั้ง มีชาวบ้านได้เข้ามาจับจองพื้นที่ที่เคยเป็นสำนักมาทำการเกษตร คณะศรัทธาได้เริ่มดำเนินการฟื้นฟูมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 จนกระทั่งเป็นวัดถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีรายละเอียด ดังนี้

.... กาลเวลาผ่านไป ในราวประมาณปี พ.ศ. 2516 ได้มีบรรดาคณะศรัทธาในเขตอำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ที่ได้เคยอุปัฏฐากท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโตสมัยที่องค์ท่านได้เคยมาพำนักบำเพ็ญเพียรสมณธรรม ณ บริเวณวัดร้างป่าแดงนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ เช่น นายสมัย ตะวะละ นายบุญผาย สีฟ้าเลื่อน นายอุดม ปันต๊ะ ฯลฯ ได้ดำริร่วมที่จะพัฒนาวัดร้างป่าแดงนี้ให้กลับเป็นวัดที่มีภิกษุสงฆ์เข้าจำพรรษาได้อีกครั้งหนึ่ง

ทั้งนี้เพื่อเป็นการอนุรักษ์พุทธศาสนาโบราณสถานแห่งนี้ให้คงอยู่ถาวรสืบต่อไปกับเพื่ออนุรักษ์สถานที่ที่ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ได้เคยมาพำนักบำเพ็ญเพียรสมณธรรมแห่งนี้ไว้เป็นอนุสรณ์สถานรำลึกถึงองค์ท่านตลอดไป


สะพานข้ามห้วยแม่กอย เข้าสู่วัดป่าอาจารย์มั่น บ้านแม่กอย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ (รูปโดย Admin)

แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่บริเวณวัดร้างป่าแดงที่มีอยู่ทั้งหมดแต่เดิมจำนวนมากนั้น ได้ถูกประชาชนบุกรุกเข้าไปจับจองถากถางป่า ปรับปรุงพื้นที่ทำนา รวมทั้งขอให้ราชการออกเอกสารสิทธิ์เข้าครอบครองทำกินหมดแล้ว ยังเหลือพื้นที่ที่ยังคงเป็นป่าที่มีซากปรักหักพัง ซึ่งเป็นสถานที่ตรงที่ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต เคยปักกลดพำนักบำเพ็ญเพียรสมณธรรมพอดี ซึ่งมีเนื้อที่เพียง 1 ไร่นั้นยังไม่ถูกถากถางปรับปรุงเป็นพื้นที่ทำนา แต่ทางราชการก็ได้ออกเอกสารสิทธิ์ให้ประชาชนถือสิทธิ์ครอบครองไปแล้ว


หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร องค์อุปถัมป์การฟื้นฟูวัดร้างป่าแดง สู่วัดป่าอาจารย์มั่น เมื่อครั้งท่านมาแสดงธรรม ณ วัดป่าอาจารย์มั่น (รูปโดย
Admin)

ทางคณะศรัทธาที่ได้ดำริร่วมกันในเบื้องต้น โดยมี นายอุดม ปันต๊ะ เป็นผู้นำก็มิได้ทัดถอยละความพยายาม ได้เจรจาขอซื้อบริเวณพื้นที่ๆ เหลือดังกล่าวประมาณ 1 ไร่เศษจากประชาชนกลับคืนมา กับติดต่อขอซื้อสวนลำไยของประชาชนที่อยู่ติดกันเพิ่มขึ้นมาได้อีก 4 ไร่เศษ รวมแล้วก็เป็น 9 ไร่เศษ ซึ่งก็พอเพียงที่จะดำเนินการก่อสร้างเป็นวัดขึ้นมาได้




หลวงปู่ทองสุก อุตฺตรปญฺโญ เป็นพระสงฆ์รูปแรกที่มาฟื้นฟูวัดป่าอาจารย์มั่น และดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสรูปที่ 1 (รูปโดย Admin)

เมื่อคณะศรัทธาได้ดำเนินการจัดหาที่ดินได้เรียบร้อยแล้ว ก็ได้วางโครงการการก่อสร้างเป็นวัดต่อไป โดยเริ่มต้นจัดตั้งเป็นสำนักสงฆ์ขึ้นมาก่อน ได้ไปอาราธนาพระอาจารย์ทองสุก อุตฺตรปญฺโญ ซึ่งขณะนั้นได้จำพรรษาอยู่กับพระอาจารย์สิม พุทฺธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ มาเป็นประธานสงฆ์ ดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2516 เป็นต้นมา


ศิลาฤกษ์ก่อสร้างศาลาสำนัก พระอาจารย์มั่น วันที่
1 มกราคม พ.ศ. 2516 (รูปโดย Admin)

ด้วยการก่อสร้างในครั้งนี้ได้รับความอุปถัมภ์ก็จากท่านพระอาจารย์สิม พุทฺธาจาโร ศรัทธาจากอำเภอพร้าว อำเภอเชียงดาว และอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งจากกรุงเทพมหานคร จึงทำให้การดำเนินการก่อสร้างได้ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยและเสร็จสิ้นสมบูรณ์ จัดตั้งเป็น "สำนักสงฆ์พระอาจารย์มั่น" มีพระสงฆ์เข้าอยู่จำพรรษาตั้งแต่ปี พ.ศ.2520 เป็นต้นมา


คณะศรัทธาญาติถวายภัตตาหาร ณ วัดป่าอาจารย์มั่น บ้านแม่กอย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ในปัจจุบัน (รูปโดย Admin)

ต่อมาในปี พ.ศ. 2527 ทางคณะสงฆ์และคณะศรัทธาของ "สำนักสงฆ์พระอาจารย์มั่น" ได้มอบหมายให้นายอุดม ปันต๊ะ ซึ่งเป็นไวยาวัจกรของสำนักสงฆ์เป็นผู้ยื่นเรื่องราวต่อทางราชการ ทำการก่อสร้างยกฐานะขึ้นเป็นวัดต่อไป และก็ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการก่อสร้างยกฐานะขึ้นเป็นวัดได้ตามประกาศของอธิบดีกรมการศาสนา ลงวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2528 และต่อมาได้มีการประกาศเป็นทางการตั้งเป็นวัดในพระพุทธศาสนาขึ้น โดยมีชื่อว่า "วัดป่าอาจารย์มั่น" ตามประกาศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2530


พระมหาธาตุมณฑปอนุสรณ์บูรพาจารย์พระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ณ วัดป่าอาจารย์มั่น บ้านแม่กอย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ (รูปโดย Admin)

พร้อมกันนี้ทางฝ่ายบริหารของคณะสงฆ์ก็ได้แต่งตั้งพระอาจารย์ทองสุก อุตฺตรปญฺโญ ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสเป็นรูปแรก เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2530

ต่อมา เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2534 พระอาจารย์ทองสุก อุตฺตรปญฺโญ ได้ลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาอาวาส ทางฝ่ายบริหารของคณะสงฆ์จึงได้แต่งตั้ง พระอาจารย์สำรอง ภทฺทิโย ทำหน้าที่รักษาการเจ้าอาวาส

จนถึงปี พ.ศ. 2544 พระอาจารย์สำรอง ได้เดินทางไปประกอบศาสนกิจที่ประเทศเยอรมัน พระอาจารย์จำรัส จิรวํโส วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน กรุงเทพฯ จึงได้ทำหน้าที่รักษาการเจ้าอาวาสองค์ต่อมาจนถึงปัจจุบัน


ภายใน พระมหาธาตุมณฑปอนุสรณ์บูรพาจารย์พระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ณ วัดป่าอาจารย์มั่น บ้านแม่กอย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ (รูปโดย Admin)

วัดป่าอาจารย์มั่น (ภูริทตโต) ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2544... (รศ.ดร.ปฐม-ภัทรา นิคมานนท์ พ.ศ. 2552:221-227)
ปัจจุบันมี พระครูสถาพรธรรมโสภณ (วิชิต โสภโณ) ดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดป่าอาจารย์มั่น และเจ้าคณะอำเภอพร้าว (ธรรมยุต)

อ้างอิง
หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ประวัติ ข้อวัตร และปฏิปทา เล่ม 1 โดย รศ.ดร.ปฐม-ภัทรา นิคมานนท์ พ.ศ. 2552.
พระกรรมฐานสู่ล้านนา ตอน 2 โดย รศ.ดร.ปฐม-ภัทรา นิคมานนท์ พ.ศ. 2548.
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าข้าริ้วห่อทอง โดย พระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร พ.ศ. 2547.
บทความ "ประวัติพุทโธหายบนดอยม่อนล้าน" โดย ส.กวีวัฒน์ จากหนังสือ จารึกไว้ในล้านนา พ.ศ.2563.
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ จัดพิมพ์เป็นธรรมบรรณาการ เนื่องในการเสด็จพระราชทานเพลิงศพ พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552.
ธรรมประวัติ หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ ผู้มากมีบุญ โดย พระธมฺมธโร ครูบาแจ๋ว พ.ศ.2555.

แสดงความเห็น  >>คลิ๊กที่นี่<<

< ตอนก่อนหน้า : ตอนต่อไป >