ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ร่วมเดินไปยังสถานที่ที่เกี่ยวเนื่อง กับองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พร้อมเรื่องราวความสำคัญ ศิษยานุศิษย์ที่เข้ามาฝากตัว เป็นสานุศิษย์ถักทอสู่ "กองทัพธรรมพระกรรมฐาน" โดยเว็บมาสเตอร์ www.luangpumun.org และสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ ศิษยานุศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จากรายการ แฟนพันธุ์แท้ 2018

เมนูหลัก ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น คลิ๊ก

อาสภิวาจา ณ วัดร้างป่าแดง ศูนย์กลางกรรมฐานพร้าว
วัดป่าอาจารย์มั่น บ้านแม่กอย อ.พร้าว จ.เชียงราย พ.ศ.
2482
ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ตอนที่
42


ทางเดินจงกรม ที่กล่าวกันว่าองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้นำอิฐเก่ามาเรียงด้วยตัวท่านเอง เป็นทางจงกรมขององค์หลวงปู่มั่นแห่งเดียวที่ยังดำรงอยู่ และกุฏิจำลองที่สร้างภายหลังในตำแหน่งเดิม เดิมบริเวณนี้เรียกว่า วัดร้างป่าแดง ต่อมาได้ฟื้นฟูเป็น วัดป่าอาจารย์มั่น บ้านแม่กอย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ (รูปโดย Admin)

          ก่อนที่องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จะได้จำพรรษาบริเวณที่ต่อมา คือ วัดป่าอาจารย์มั่น ในปี พ.ศ. 2482 เดิมเป็นวัดร้างที่ตั้งตามนามสังกัดเดิมของคณะสงฆ์ป่าแดงหลวง คือ วัดร้างป่าแดง อยู่บริเวณหัวไร่ปลายนาของชาวบ้านแม่กอย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ เริ่มต้นคณะศรัทธานิมนต์องค์หลวงปู่มั่นได้มาพักชั่วคราวตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 เดิมมีซากกองอิฐที่ตั้งใจจะสร้างเป็นเจดีย์แต่ยังสร้างไม่เสร็จ ทำให้ผู้สร้างซึ่งเป็นวิญญาณสองพี่น้องยังเป็นห่วงวนเวียนอยู่ไม่ไปไหน องค์หลวงปู่มั่นได้เมตตาเทศน์โปรดไม่ให้ติดอยู่ในอดีตและสมาทานศีล 5 จนดวงวิญญาณทั้งสองคลายความห่วงและจุติในภพภูมิใหม่ที่ดีขึ้น องค์หลวงปู่มั่นยังได้เมตตานำเศษอิฐมาจัดเรียงเป็นทางจงกรม ซึ่งยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน และเป็นทางจงกรมที่เหลืออยู่แห่งเดียวในภาคเหนือ

วัดร้างป่าแดงแห่งนี้ ได้กลายมาเป็นศูนย์กลางของคณะกรรมฐานในเขต อ.พร้าว ในระยะเริ่มต้นมีพระมาพำนักและจำพรรษา ดังเช่นในปี พ.ศ. 2481 ที่ พระอาจารย์เนียม โชติโก หลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ และหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ ได้มาจำพรรษา ตามบัญชาขององค์หลวงปู่มั่น ซึ่งในปีนั้นองค์ท่านจำพรรษา ณ วัดเจดีย์หลวง พอออกพรรษาองค์หลวงปู่มั่นได้ขึ้นมา อ.พร้าว และพาศิษย์ออกวิเวกจนเข้าพรรษา ณ วัดป่าอาจารย์มั่นในปี พ.ศ. 2482

1. ปฐมเหตุมายังบ้านแม่กอย

          จากการเรียบเรียงของ ร.ศ.ดร.ปฐม-ภัทรา นิคมานนท์ และ ส.กวีวัฒน์ ได้ลำดับเหตุการณ์ของวัดป่าอาจารย์มั่น พื้นที่ดั้งเดิมเป็นวัดร้าง ที่มีนามว่า วัดร้างป่าแดง ซึ่งเป็นชื่อที่น่าจะเกี่ยวเนื่องกับสังกัดคณะสงฆ์นิกายเดิมที่สร้างวัด คือ คณะป่าแดงหลวง หรือ คณะลังกาใหม่ ต่อมาได้รกร้างลงได้กลายเป็นหัวไร่ปลายนาของชาวบ้านแม่กอย

          กล่าวกันว่า ในปี พ.ศ. 2478 มีชาวบ้านแม่กอย ที่ได้เดินทางบนดงดอยมูเซอแห่งหนึ่ง ในเขตอำเภอพร้าว ได้ไปพบองค์หลวงปู่มั่น บนเส้นทางป่านั้นได้เกิดศรัทธา นิมนต์องค์ท่านลงมาพักที่บริเวณวัดร้างป่าแดง พร้อมกับสร้างเสนาสนะให้ท่านพำนักอาศัย และถวายอุปัฏฐาก ซึ่งบริเวณบ้านแม่กอยเป็นที่พื้นราบ และยังเป็นจุดศูนย์กลางในการเดินทางไปวิเวกตามจุดต่างๆ

จากบันทึกที่ระบุว่า สถานที่แห่งนี้องค์หลวงปู่มั่นเริ่มมาพักตั้งแต่ปี พ.ศ.2478 ซึ่งเป็นไปได้ว่าองค์หลวงปู่มั่นและศิษย์ น่าจะได้พำนักเป็นการชั่วคราว ในส่วนของศิษย์เองก็ได้มาจำพรรษาด้วย สำหรับองค์หลวงปู่มั่น ได้เมตตามาจำพรรษาในปี พ.ศ.2482 เป็นพรรษาสุดท้ายในล้านนา ในภาพจำของชาวอำเภอพร้าวจะเป็นภาพขององค์หลวงปู่มั่น ที่ภาวนาเดินจงกรมตลอดเวลา

          สำหรับรายละเอียดของข้อมูล ในส่วนที่เรียบเรียง โดย รศ.ดร.ปฐม-ภัทรา นิคมานนท์ เกี่ยวกับความเป็นมาในการก่อตั้งเสนาสนะแล้วได้นิมนต์องค์หลวงปู่มั่นมาพำนัก ในหัวข้อที่ 1.1-1.6 และข้อมูลเกี่ยวกับนามวัดเดิม ที่มาจากสังกัดคณะสงฆ์เดิมและภูมิศาสตร์ที่ตั้งที่เป็นศูนย์กลางในการจาริกวิเวกในเขต อ.พร้าว จากการเรียบเรียง โดย ส.กวีวัฒน์ ในหัวข้อที่ 1.7 มีรายละเอียด มีรายละเอียดดังนี้

1.1 พบพระภิกษุใกล้ชายแดนพม่า

พ่อส่างน้อง อัฐรัตน์ เป็นพ่อค้าเพชรพลอย ต้องเดินทางจากประเทศไทยไปซื้อเพชรพลอยจากประเทศพม่า เมื่อซื้อเพชรพลอยได้แล้ว ก็จะเดินทางจากประเทศพม่า เข้ามาขายในประเทศไทย

พ.ศ. 2478 พ่อส่างน้อง ได้เดินทางจากอำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ เดินเท้าไปทางบ้านแม่กอย แล้วผ่านอีกหลายหมู่บ้าน จนถึงดอยมูเซอ แล้วก็จะออกเดินทางออกพรมแดนไปประเทศพม่า เมื่อได้ซื้อเพชรพลอยแล้วก็กลับประเทศไทยเดินทางเป็นหลายวัน เมื่อข้ามพรมแดนเข้าประเทศไทย ทางด้านดอยมูเซอ อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่

ก่อนจะถึงดอยมูเซอ เป็นระยะทางเดินเท้าประมาณครึ่งวัน พ่อส่างน้อง ก็ได้พบพระภิกษุรูปหนึ่งจึงสอบถามว่า พระคุณเจ้าจะไปที่ใด พระภิกษุท่านตอบว่า ท่านได้เดินทางจากอำเภอเชียงดาว แล้วจะไปอำเภอแม่แตง เหตุไฉนก็ไม่ทราบทำให้ท่านเดินหลงทาง เดินไม่ถึงอำเภอแม่แตงสักที เดินทางตั้งแต่ฉันภัตตาหารเช้าแล้ว นี่จวนค่ำแล้วก็ไม่ถึงสักที

พ่อส่างน้อง ก็บอกพระภิกษุรูปนั้นว่า ทางที่พระคุณเจ้าจะเดินต่อไปนั้นเกือบจะถึงเขตแดนพม่าแล้วพ่อส่างน้อง ก็ได้กราบพระภิกษุรูปนั้น และขอนิมนต์ว่า "ขอท่านพระคุณเจ้าท่านเดินทางไปกับพ่อส่างน้อง ไปอยู่อำเภอพร้าวด้วยกันเถอะ จะสร้างที่พักปฏิบัติธรรมให้ และจะรับเป็นโยมอุปัฏฐากทุกอย่างทุกประการ"

พระภิกษุรูปนั้นก็รับนิมนต์แล้วเดินทางมากับพ่อส่างน้อง อัฐรัตน์ มืดค่ำแล้วก็เดินมาถึงบ้านดอยมูเซอ จึงได้จัดทำที่พักชั่วคราวให้พระภิกษุคืนนั้น พ่อส่างน้อง อัฐรัตน์ ก็ได้ต้มน้ำชงน้ำชาถวายให้แก่พระภิกษุรูปนั้น และจ้างพวกมูเซอตักน้ำมาถวายพระภิกษุรูปนั้น

No_07กรรมฐานล้านนา2.pdf - Adobe Acrobat Reader (64-bit)
แม่สา อิฐรัตน์ หรือ แม่อุสา อุปัฏฐายิกาชาวบ้านแม่กอย ในยุคองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และคณะศิษย์ได้มาพำนัก ณ วัดร้างป่าแดง ที่ต่อมา คือ วัดป่าอาจารย์มั่น บ้านแม่กอย (รูปจาก พระกรรมฐานสู่ล้านนา ตอน
2)

1.2 จัดที่พักถวายที่หัวนาปลายไร่บ้านแม่กอย

เมื่อพักผ่อนกันแล้ว ในวันรุ่งขึ้น ก็ได้เดินทางจากดอยมูเซอ เข้าสู่อำเภอพร้าว เดินได้ผ่านหมู่บ้านหลายหมู่บ้าน จนถึงบ้านแม่กอย พ่อส่างน้องจึงจัดที่พักที่ หัวนาปลายไร่บ้านแม่กอย ให้แก่พระภิกษุรูปนั้น

ตัวพ่อส่างน้อง อัฐรัตน์ ก็ให้คนมูเซอที่เป็นลูกหาบรีบเดินทาง เข้าไปในตัวอำเภอพร้าว ให้คนมูเซอไปบอก แม่อุสา อัฐรัตน์ ที่บ้านว่า "มีพระภิกษุมาพักที่หัวนาปลายไร่อยู่รูปหนึ่ง"

แม่อุสา จึงรีบสั่งพวกช่างไม้ที่ทำการปลูกสร้างบ้านอยู่ จำนวนหลายคน ให้รีบติดตามแม่อุสาไป

ส่วนแม่อุสา ก็เตรียมอาหารต่างๆ ใส่เปี๊ยด (กระบุง - หาบ) แล้วหาบไปถึงบ้านแม่กอย ที่พ่อส่างน้อง อัฐรัตน์ กำลังถางที่ทาง เพื่อให้พระภิกษุรูปนั้นเป็นที่พัก

แม่อุสา อัฐรัตน์ จึงรีบเข้าไปกราบพระภิกษุรูปนั้นและเอาเสื่อปูและถวายภัตตาหารแก่พระภิกษุรูปนั้น เมื่อพระภิกษุรูปนั้น ฉันภัตตาหารเรียบร้อยแล้ว ให้ศีลให้พรกันแล้ว ก็ได้เล่าให้แม่อุสาฟังว่า ท่านชื่อ พระมั่น เดินทางมาจากภาคอีสาน และธุดงค์ไปจำพรรษาที่อำเภอเชียงดาว พอออกพรรษาแล้ว จึงจะเดินทางกลับวัดที่อำเภอแม่แตง เป็นวัดซึ่งพระท่านเคยพักอยู่ก่อนที่จะไปจำพรรษาที่อำเภอเชียงดาว แต่ปรากฏว่า เดินหลงทางเกือบจะออกไปทางประเทศพม่า


กุฏิจำลองที่สร้างในบริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งกุฏิองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ณ วัดป่าอาจารย์มั่น อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ (รูปจาก โครงการท่องเที่ยวโดยชุมชนตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)

1.3 โปรดสุนัขแม่ลูกอ่อน : เหตุที่หลวงปู่หลงทาง

พวกชาวเขาเผ่ามูเซอเล่าให้แม่อุสาฟังว่า ตอนเช้านี้ (ที่ดอยมูเซอ) เห็นพระพูดกับหมาด้วย

แม่อุสา ก็ได้เรียนถามพระรูปนั้น (หลวงปู่มั่น) ว่า ท่านพระคุณเจ้าพูดกับสุนัขได้หรือ ?

พระท่าน (หลวงปู่มั่น) จึงเล่าให้แม่อุสา ฟังว่า เมื่อคืนนี้โยมผู้ชายสามีของโยมจัดทำที่พักให้พระท่าน แล้วตอนเช้าพวกชาวเขาก็ได้ปิ้งหัวเผือกหัวมันมาถวาย และฟ้อนให้ดูด้วย

เมื่อฉันหัวเผือกหัวมันแล้ว ก็ล้างบาตร และทำความสะอาดฟันเรียบร้อยแล้ว ก็ลุกขึ้นดินจงกรม ก็ไปพบสุนัขแม่ลูกอ่อน (หมาแม่ต้อง) สุนัขตัวนั้นก็คลานเข้ามาหาท่าน ท่านจึงทราบสาเหตุทันทีว่า ที่ท่านเดินหลงทางก็เพราะสุนัขตัวนี้แหละ ท่านก็แผ่เมตตาให้

เมื่อสนทนาปราศรัยกันพอสมควรแล้ว แม่อุสาก็ได้นิมนต์ท่านให้อยู่ประจำที่นี่เถอะ จะขอเป็นผู้อุปัฏฐากท่านทุกอย่างทุกประการ

หลังจากนั้น แม่อุสา และพ่อส่างน้อง อัฐรัตน์ ก็ให้ลูกจ้างสร้างกุฏิถวายหลวงปู่ และถวายที่ดิน พร้อมทั้งปลูกต้นไม้ ทั้งไม้ดอกและไม้ผลให้

1.5 บิณฑบาตโปรดชาวอำเภอพร้าว

หลังจากนั้น หลวงปู่ ก็ได้ออกบิณฑบาตทุกเช้า เดินจากที่พักบ้านแม่กอย เดินบิณฑบาตไปถึงตลาดตัวอำเภอ เมื่อเดินบิณฑบาตรับภัตตาหารไปจวนถึง ชาวบ้านตันตลาด ลุงน้อย ใจมา ก็จะตะโกนบอกชาวบ้านว่า "ตุ๊เจ้าป่ามาแล้วเน้อ" (พระธุดงค์มาแล้วนะ)

เมื่อบิณฑบาตแล้ว ก็เดินกลับมาที่บ้านแม่อุสาและพ่อส่างน้องและก็มาฉันอาหารในบ้าน ที่บ้านแม่อุสาและพ่อส่างน้องทุกๆ วัน

ท่านเอาอาหารออกจากบาตร เหลือแต่พอฉันไว้เท่านั้น ที่เอาออกจากบาตร แม่อุสา ก็จะจัดใส่ปิ่นโตและหาบไปส่งท่านที่วัดปันอาหาร - พระท่านก็ให้เอาออกแจกชาวบ้านที่ไปช่วยถางที่ทาง ที่เป็นสถานธุดงควัตรนั้น

เมื่ออยู่มาได้ระยะหนึ่ง หลวงปู่ก็เขียนจดหมายให้แม่อุสานำมาส่งให้ลูกศิษย์ท่านที่อำเภอแม่แตงและส่งไปทางอีสานด้วย ว่าท่านจะอยู่ประจำที่อำเภอพร้าว และท่านก็อยู่ถึง พ.ศ. 2485 แล้วจึงกลับไปภาคอีสาน (สุดท้ายองค์หลวงปู่มั่น ได้เดินทางกลับภาคอีสานในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2483 - Admin)

เขียนตามบอกเล่าของแม่อุสา อัฐรัตน์ ข้าพเจ้า นางสุภัดบงกช ประทุมมณี เป็นหลานยายของแม่อุสา แม่อุสา มีบุตรีชื่อ นางยวงคำ ข้าพเจ้าผู้เขียนชื่อ นางสุภัคบงกช เป็นบุตรีของนางยวงคำ โดยการแนะนำของคุณแม่กิมเฮียง ตันประดิษฐ์ (รศ.ดร.ปฐม-ภัทรา นิคมานนท์ จากหนังสือ พระกรรมฐานสู่ล้านนา ตอน 2, พ.ศ.2547: 550-556)


ทางจงกรมองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ณ วัดป่าอาจารย์มั่น บ้านแม่กอย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ (รูปโดย Admin)

1.6 หลวงปู่มั่นในความทรงจำชาวพร้าว

          เรื่องนี้เป็นบันทึกด้วยลายมือเขียนของพ่อครูหนานปวงคำ ตุ้ยเขียว อีกเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับอุบาสกผู้อุปัฏฐากหลวงปู่มั่น ที่วัดบ้านแม่กอย ประมาณ พ.ศ. 2478-2482

ในบันทึกมีดังนี้ : -

พ่ออุ๊ยตี้ง นามสกุล ตื้อมุ้ง เมียคนแรก ย่าเขียว เมียคนที่สอง ย่าแก้ว เชื้อชาติไทยใหญ่ ภูมิลำเนาเดิมเกิดเมืองปั่น ตั้งแต่ยังหนุ่มเดินทางมาเป็นลูกสมุนของขุนเลา เชื้อชาติเดียวกัน ที่บ้านเชียงยืนในเมืองเชียงใหม่ ขึ้นมาตั้งรกรากทำมาหากินอยู่บ้านแม่กอย (เวลานั้นเรียก บ้านสันขะหนุน) ตำบลเวียง อำเภอพร้าว

ปัจฉิมวัย ตั้งตนไว้ชอบ ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมตามอัตภาพพ่ออุ๊ยเล่าว่า "เมื่อครูบามั่น และครูบาสองสามตน เดินธุดงค์มาอยู่วัดร้างป่าแดง พ่อไปปฏิบัติบำรุง ต้มน้ำร้อนน้ำอุ่น ถวายครูบามั่น และครูบาองค์อื่นแถม บ่ได้ขาดเป็นเวลาหลายปี

แต่ที่แปลกนั้น พ่อไปวัดป่า จะเห็นครูบามั่นนั่งอยู่บ่มี เห็นเดินจงกรม ไปมาไปมา ฝนตกก็ตาม แดดออก หนาว ร้อน ก็เดินอยู่อย่างนั้น จะนั่งเมื่อมีคนมาหาเท่านั้น"  (รศ.ดร.ปฐม-ภัทรา นิคมานนท์ จากหนังสือ พระกรรมฐานสู่ล้านนา ตอน 2, พ.ศ.2547: 530-531)

1.7 เหตุที่ชื่อวัดร้างป่าแดง

          บริเวณที่คณะศรัทธาบ้านแม่กอย เมืองพร้าว ได้อาราธนาองค์หลวงปู่มั่น ได้มาพำนักที่กล่าวว่าเป็นหัวไร่นั้น ในอดีตเป็นวัดร้าง ที่เรียกว่า "วัดร้างป่าแดง" โดยมีสิ่งก่อสร้างเก่าที่หลงเหลืออยู่ คือ กองอิฐเก่าที่เคยเป็นเจดีย์ ที่ต่อมาองค์หลวงปู่มั่นจะได้เกี่ยวข้องกับเจดีย์เก่านี้

          จากบันทึกของ ส.กวีวัฒน์ ได้กล่าวว่า นามวัดมาจากนามของคณะสงฆ์ที่เคยอยู่ที่นี่ คือ "คณะสงฆ์ป่าแดงหลวง" หรือ "คณะสงฆ์ลังกาใหม่" พื้นที่วัดตั้งอยู่ในตำแหน่งศูนย์กลางของการจาริกไปในสถานที่ต่างๆ ของ อ.พร้าว จากบันทึกนี้อีกทั้งระยะเวลาการก่อตั้งวัด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 จากบันทึก มีรายละเอียด ดังนี้

          ... แม่กอย เป็นชื่อหมู่บ้านชานเมืองอยู่ใกล้อำเภอพร้าว ในเส้นทางผ่านตำบลป่าไหน่ สู่บ้านม้งแม่งัด และม้งห้วยโกร๋น (ทางราชการให้ย้ายลงอยู่นิคมสหกรณ์พร้าว ตำบลแม่แวน อำเภอพร้าวนานแล้ว)

วัดป่าอาจารย์มั่น อยู่ติดกับหมู่บ้านแม่กอย สถานที่ตั้งวัดเป็นนาสวนเก่าของชาวบ้าน ได้ทราบว่าเมื่อก่อนเป็นวัดร้าง ชาวบ้านเรียกวัดป่าแดง ในสังกัดคณะสงฆ์ป่าแดงหลวง ที่ตั้งอยู่เชิงดอยสุเทพ หลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วัดป่าแดงเป็นนิกายลังกาวงศ์ใหม่ ที่พระเจ้าติโลกราชทรงศรัทธาให้การสนับสนุน จนแพร่หลายไปถึงนครเชียงตุงในรัฐฉาน ประเทศพม่า ส่วนวัดสวนดอก เป็นคณะสงฆ์ลังกาวงศ์เก่า

ช่วงราชวงศ์มังรายมีคณะนิกายสงฆ์ในล้านนา 3 นิกาย อีกนิกายหนึ่ง คือ นิกายดั้งเดิมของลานนา ที่สืบทอดมาจากนิกายมอญลำพูน มีวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร เป็นหลัก ... (ส.กวีวัฒน์, จารึกไว้ในล้านนา, 2563, 95-96)

No_06กรรมฐาน้านนา1.pdf - Adobe Acrobat Reader (64-bit)

องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้นำอิฐที่กล่าวกันว่าเป็นซากเจดีย์เก่าที่ยังสร้างไม่เสร็จ อิฐเหล่านี้กองกระจัดกระจายในพื้นที่ องค์ท่านรับรู้ที่ความห่วงของผู้สร้างเจดีย์เมื่อเสียชีวิตลงปรากฏเป็นดวงวิญญาณสองพี่น้องวนเวียนอยู่ องค์ท่านได้นำอิฐเหล่านั้นมาจัดเรียงเป็นทางจงกรม และเทศน์โปรดดวงวิญญาณทั้งสอง จนคลายความเกี่ยวข้องในสิ่งที่ตนเองตั้งใจสร้างยังไม่เสร็จ เปลี่ยนภพไปสู่ภูมิที่ดี เป็นรูปเก่าก่อนการบูรณะในยุคปัจจุบัน (รูปจาก พระกรรมฐานสู่ล้านนา ตอน 1)

2. ทางจงกรมโปรดดวงวิญญาณสองพี่น้อง

          สิ่งก่อสร้างของวัดเดิมก่อนที่จะร้างลงจนกลายเป็นวัดร้างป่าแดง มีกองอิฐที่กล่าวว่าเป็นซากเจดีย์ ที่ยังสร้างไม่เสร็จ จากบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดย หลวงตามหาบัว ได้กล่าวว่า เมื่อองค์หลวงปู่มั่นมาพำนัก ได้พบกับดวงวิญญาณ 2 ดวง ดวงหนึ่งเป็นหญิงสาวผู้พี่ อีกดวงหนึ่งเป็นสามเณรผู้น้อง ท่านได้ทราบว่า ดวงวิญาณสองดวงนี้ยังไม่ไปไหน ยังคงติดพันอยู่กับเจดีย์ที่ทั้งสองเมื่อยังมีชีวิตอยู่ได้ร่วมกันสร้าง แต่ยังไม่เสร็จทำให้เกิดเป็นความห่วงไม่ไปยังภพอื่น องค์หลวงปู่มั่น ได้เทศนาไม่ให้ดวงวิญญาณทั้งสอง ห่วงกับสิ่งก่อสร้าง ให้อยู่ในปัจจุบัน แล้วได้ให้ศีล 5 และอานิสงส์ของศีล จนดวงวิญญาณทั้งสองหลุดจากความผูกพัน เมื่อได้รับศีลก็เกิดความบริสุทธิ์ หลุดจากภพที่ทรมานสู่ภพภูมิที่ดีขึ้น

          และจากคำบอกเล่าของหลวงพ่อพิชิต ชิตมาโร ได้เคยฟังคำบอกเล่าว่า ดวงวิญญาณทั้งสองดวงนั้น ได้ร้องขอให้องค์หลวงปู่มั่น ช่วยก่อสร้างเจดีย์ให้แล้วเสร็จ แต่องค์หลวงปู่มั่นได้บอกว่า ท่านจะนำอิฐเหล่านั้นมาเรียงเป็นทางจงกรม โดยองค์ท่านได้นำอิฐมาเรียงด้วยองค์เอง ซึ่งทางจงกรมยังปรากฏถึงทุกวันนี้ และกล่าวกันว่า เป็นทางจงกรมขององค์หลวงปู่มั่น ที่เหลืออยู่เพียงแห่งเดียวในภาคเหนือ

          โดยมีข้อมูลที่ได้นำมาสรุป โดยเรียบเรียงจากข้อมูลซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้


หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ได้บันทึกเรื่องราวโดยเฉพาะคำเทศน์สอนดวงวิญญาณสองพี่น้องที่วัดป่าอาจารย์มั่น บ้านแม่กอย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ไว้ในประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต (รูปจาก ฐานข้อมูล Admin)

2.1 พบดวงวิญญาณเมตตาเทศน์ให้อยู่กับปัจจุบันและศีล 5

          จากบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดย หลวงตามหาบัว ได้กล่าวว่า เมื่อองค์หลวงปู่มั่นมาพำนัก ได้พบกับดวงวิญญาณ 2 ดวง ดวงหนึ่งเป็นหญิงสาวผู้พี่ อีกดวงหนึ่งเป็นสามเณรผู้น้อง ท่านได้ทราบว่า ดวงวิญญาณสองดวงนี้ยังไม่ไปไหน ยังคงติดพันอยู่กับเจดีย์ที่ทั้งสองเมื่อยังมีชีวิตอยู่ได้ร่วมกันสร้าง แต่ยังไม่เสร็จทำให้เกิดเป็นความห่วงไม่ไปยังภพอื่น องค์หลวงปู่มั่น ได้เทศนาไม่ให้ดวงวิญญาณทั้งสอง ห่วงกับสิ่งก่อสร้าง ให้อยู่ในปัจจุบัน แล้วได้ให้ศีล 5 และอานิสงส์ของศีล จนดวงวิญญาณทั้งสองหลุดจากความผูกพัน เมื่อได้รับศีลก็เกิดความบริสุทธิ์ หลุดจากภพที่ทรมานสู่ภพภูมิที่ดีขึ้น โดยมีรายละเอียด ดังนี้

.... ท่านเล่าว่า หลายคืนที่ทำความเพียรอยู่ตลอดกลางคืนยามดึกสงัด ปรากฏเห็นสามเณรน้อยองค์หนึ่งกับผู้หญิงคนหนึ่ง พากันเดินผ่านไปผ่านมาอยู่แถวบริเวณนั้นแทบทุกคืน ท่านนึกสงสัยว่าคนทั้งสองนี้เดินไปมาเพื่อประสงค์อะไร วันต่อมาจึงถามถึงเหตุที่ต้องพากันมาเดินวกเวียนอยู่แถวนั้น ก็ได้คำตอบจากคนทั้งสองว่า เป็นห่วงและอาลัยในพระเจดีย์ที่สร้างยังไม่เสร็จ แต่ได้ตายไปเสียก่อน เพราะความห่วงใยนั้นจึงต้องวกเวียนไปมาอยู่ทำนองนี้นานแล้ว ส่วนสามเณรน้อยนั้นเป็นน้องชายของหญิงคนนั้น

ทั้งสองคนได้ร่วมกำลังกันสร้างพระเจดีย์ ความที่ต่างคนต่างห่วงและอาลัยพระเจดีย์และเสียดายเวลาไม่รอคอยพอให้สร้างพระเจดีย์เสร็จก่อนแล้วค่อยตายไป จะไม่เป็นภาระผูกพันดังที่เป็นอยู่เวลานี้ แม้จะเป็นอยู่ในภพที่มีความห่วงใย แต่ก็มิได้มีความทุกข์ทรมานซึ่งควรจะเป็น เป็นแต่จะไปผุดไปเกิดที่ไหนก็ไม่อาจปลงใจลงได้เด็ดขาดเท่านั้น

ท่านจึงได้เทศน์ให้คนทั้งสองฟังว่า

"สิ่งที่ล่วงไปแล้วไม่ควรไปทำความผูกพัน เพราะเป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้วอย่างแท้จริง แม้จะทำความผูกพันและมั่นใจให้สิ่งนั้นกลับมาเป็นปัจจุบันก็เป็นไปไม่ได้ ผู้ทำความสำคัญมั่นหมายนั้นเป็นทุกข์แต่ผู้เดียวโดยความไม่สมหวังตลอดไป อนาคตที่ยังไม่มาถึงก็เป็นสิ่งไม่ควรไปยึดเหนี่ยวเกี่ยวข้องเช่นกัน อดีตควรปล่อยไว้ตามอดีต อนาคตก็ควรปล่อยไว้ตามกาลของมัน ปัจจุบันเท่านั้นจะสำเร็จประโยชน์ได้ เพราะอยู่ในฐานะที่ควรทำได้ไม่สุดวิสัย"

การสร้างพระเจดีย์ไม่สำเร็จแต่มาด่วนตายไปเสียก่อนนั้น ถ้าเป็นสิ่งที่สามารถทำให้เป็นไปตามใจหวังได้แล้วเราก็ไม่ควรตาย ควรจะสร้างให้สำเร็จไปเสียก่อน แต่ยังฝืนตายไปจนได้ มิหนำเวลาตายแล้วยังมาเป็นห่วงอยากให้เจดีย์สำเร็จทั้งที่ไม่สามารถทำได้ นี่แสดงว่าคิดผิดไปถึงสองชั้น แล้วยังจะเป็นห่วงเพื่อให้สมความปรารถนาอีกต่อไป  ยิ่งคิดผิดไปอีกสามชั้น ความคิดผิดมิได้ผิดเฉพาะความคิดเท่านั้น การไปการมาเกิดในภพ การเสวยสุขเสวยทุกข์ในภพนั้น ๆ ก็พลอยผิดความมุ่งหมายไปด้วย เพราะความคิดผิดเป็นสาเหตุจากใจเพียงดวงเดียว จึงเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะฝืนคิดฝืนเป็นห่วงต่อไป

การสร้างพระเจดีย์เราสร้างหวังบุญหวังกุศลต่างหาก มิได้สร้างเพื่อหวังเอาก้อนอิฐก้อนหินปูนทรายในองค์พระเจดีย์ไปด้วย สิ่งที่เป็นสมบัติของเราในการสร้างพระเจดีย์ก็คือบุญ สร้างได้มากน้อยบุญที่เกิดจากการสร้างนั้นเป็นของเรา จึงไม่ควรเป็นห่วงใยในอิฐในปูนและในพระเจดีย์ ซึ่งเป็นวัตถุที่หยาบยิ่ง และเป็นสิ่งสุดวิสัยที่จะให้เป็นไปได้ดังใจหวัง

ท่านนักสร้างบุญทั้งหลาย ท่านเอาเฉพาะบุญติดตัวไป มิได้เอาสิ่งก่อสร้างวัตถุทานต่าง ๆ ที่สละลงเพื่อทานแล้วติดตัวไปด้วย เช่น การสร้างวัด สร้างกุฎีวิหาร ศาลาโรงธรรมสวนะ สร้างถนนหนทาง สร้างถังน้ำ  สร้างสาธารณสถาน ตลอดการให้ทานด้วยวัตถุต่าง ๆ มากมายหลายวิธี สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงเครื่องสนองกุศลเจตนาของผู้มุ่งทำบุญให้ทานเท่านั้น มิใช่ตัวบุญตัวกุศลตัวสวรรค์นิพพาน และมิใช่ผู้จะไปสู่มรรคสู่ผลสู่สวรรค์นิพพาน สร้างไว้แล้วนานไปก็ชำรุดทรุดโทรม และร่วงโรยไปตามฐานะและกาลของมัน


ปูนปั้นเทวดาภายในวัดป่าอาจารย์มั่น บ้านแม่กอย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ (รูปโดย Admin)

สิ่งที่สำเร็จจากการก่อสร้างและการให้ทานอันเป็นส่วนนามธรรมอยู่ภายในนั้น คือตัวบุญกุศล เจ้าของผู้คิดเป็นกุศลเจตนาขึ้นมาให้สำเร็จเป็นวัตถุไทยทานต่าง ๆ นั้นคือใจ ใจนี่แลเป็นผู้ทรงบุญทรงกุศล ทรงมรรคทรงผล ทรงสวรรค์นิพพาน และใจนี่แลเป็นผู้ไปสู่สวรรค์นิพพาน นอกจากใจไม่มีอะไรจะไป เจดีย์ของคุณทั้งสองที่สร้างยังไม่เสร็จนั้น ก็มิได้มีจิตใจพอจะมีเจตนาในบุญกุศลเพื่อไปสวรรค์นิพพานอะไรเลย ความเป็นห่วงก็คือใจดวงหึงหวง แม้จะเป็นฝ่ายดี แต่ความคิดที่ติดอยู่จัดว่าเป็นความคิดที่ไม่ฉลาดต่อตัวเองอยู่นั่นแหละ จึงทำเจ้าของให้วกไปเวียนมาชักช้าต่อทางไปผุดไปเกิด

ถ้าคุณทั้งสองยินดีเฉพาะกุศลผลบุญที่ทำได้จากการสร้างพระเจดีย์ไปเท่านั้น ไม่มุ่งจะแบกหามพระเจดีย์ไปสวรรค์นิพพานด้วย คุณทั้งสองก็ไปอย่างสุคโตหายห่วงไปนานแล้ว  เพราะบุญเป็นเครื่องสนับสนุนคนให้สุคโตเสมอมา ดังธรรมแสดงไว้ว่าอกาลิโก ฉะนั้นบุญจึงไม่เปลี่ยนแปลงตัวกลายเป็นบาปตลอดกาล ความห่วงในสิ่งไม่ควรห่วงและในกาลไม่ควรห่วง จึงเป็นความผิดของผู้ห่วงใยเอง

อนึ่งความห่วงใยอยากให้เจดีย์สำเร็จนั้น ก็มิได้สำเร็จไปตามความห่วงความหวัง จึงไม่ควรตั้งจิตคิดเป็นห่วงในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ พลังแห่งบุญกุศลของคุณทั้งสองพอดีกับคุณทั้งสองอยู่เฉพาะปัจจุบัน อย่าคิดเรื่องอดีตอนาคตให้เป็นการกดถ่วงกำลังใจที่ควรจะไปทางดีให้เสียเวลาอยู่นาน ดังที่เป็นมาและเป็นอยู่ขณะนี้ ควรแก้ไขเจตสิกธรรม คือความคิดปรุงต่าง ๆ นั้นเสีย คุณทั้งสองจะหายห่วงและไปอย่างสบายหายกังวลในไม่ช้า ขอได้พากันสนใจในปัจจุบันอันเป็นที่บรรจุกุศลธรรมทั้งมวลเพื่อมรรคผลนิพพาน อดีตอนาคตเป็นข้าศึกที่ควรแก้ไขอย่าให้เนิ่นนาน

คุณทั้งสองเป็นบุคคลที่น่าสงสารมาก สร้างบุญญาภิสมภารมาเพื่อยังตนไปสู่สุคติ แต่กลับมาติดกังวลในอิฐในปูนเพียงเท่านั้น จนเป็นอุปสรรคต่อทางเดินของตนซึ่งทำให้เสียเวลาไปนาน ถ้าคุณทั้งสองพยายามตัดความขัดข้องห่วงใยที่กำลังเป็นอยู่ออกจากใจ ชั่วเวลาไม่นานเลยจะเป็นผู้หมดภาระเครื่องผูกพัน คุณมีจิตมุ่งมั่นในภพใดจะสมหวังในภพนั้น เพราะแรงกุศลที่ได้พากันสร้างมาพร้อมอยู่แล้ว

จากนั้นท่านแสดงศีล 5 ซึ่งเป็นคุณธรรมที่ไม่ขัดต่อภพกำเนิดและเพศวัยให้ฟัง พร้อมอานิสงส์เป็นใจความย่อว่า

"หนึ่ง สิ่งที่มีชีวิตเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเอง จึงไม่ควรเบียดเบียนและทำลายคุณค่าแห่งความเป็นอยู่ของเขาให้ตกไป อันเป็นการทำลายคุณค่าของกันและกันเป็นบาปกรรมแก่ผู้ทำ

สอง สิ่งของของใคร ๆ ก็รักและสงวนแม้คนอื่นจะเห็นว่าไม่ดีมีคุณค่า แต่ผู้เป็นเจ้าของย่อมเห็นคุณค่าในสมบัติของตน ไม่ว่าสมบัติหรือสิ่งของใด ๆ ที่มีเจ้าของ แม้มีคุณค่าน้อยก็ไม่ควรทำลาย คือ ฉกลัก ปล้นจี้ เป็นต้น อันเป็นการทำลายสมบัติและทำลายจิตใจกันอย่างหนัก ทั้งเป็นบาปมาก ไม่ควรทำ

สาม ลูกหลานสามีภริยาใคร ๆ ก็รักสงวนอย่างยิ่ง ไม่ปรารถนาให้ใครมาอาจเอื้อมล่วงเกิน จึงควรให้สิทธิเขาโดยสมบูรณ์ ไม่ล่วงล้ำเขตแดนของกันและกัน อันเป็นการทำลายจิตใจของผู้อื่นอย่างหนักและเป็นบาปไม่มีประมาณ

สี่ มุสา การโกหกพกลมเป็นสิ่งทำลายความเชื่อถือของผู้อื่นให้ขาดสะบั้นลง ขาดความนับถืออย่างไม่มีชิ้นดีเลย  แม้แต่สัตว์ดิรัจฉานเขาก็ไม่พอใจในคำหลอกลวง จึงไม่ควรพูดโกหกหลอกลวงให้ผู้อื่นเสียหาย

ห้า สุรา ตามธรรมชาติเป็นของมึนเมาและให้โทษอยู่ในตัวของมันอย่างเต็มที่อยู่แล้ว เมื่อดื่มเข้าไปย่อมสามารถทำคนดี ๆ ให้กลายเป็นคนบ้าได้ในทันทีทันใด และลดคุณค่าลงโดยลำดับ ผู้ต้องการเป็นคนดีมีสติปกครองตัวอย่างมนุษย์ทั้งหลาย จึงไม่ควรดื่มสุราเครื่องทำลายสุขภาพทางกายและทางใจอย่างยิ่ง เพราะเป็นการทำลายตัวเองและผู้อื่นไปด้วยในขณะเดียวกัน

อานิสงส์ของศีล 5 เมื่อรักษาได้

หนึ่ง ทำให้อายุยืนปราศจากโรคภัยมาเบียดเบียน

สอง ทรัพย์สมบัติที่อยู่ในความครอบครอง มีความปลอดภัยจากโจรผู้ร้ายมาราวีเบียดเบียนทำลาย

สาม ระหว่างลูกหลาน สามีภริยาอยู่ด้วยกันเป็นผาสุก ไม่มีผู้มาคอยล่วงล้ำกล้ำกราย ต่างครองกันด้วยความเป็นสุข

สี่ พูดอะไรมีผู้เคารพเชื่อถือ คำพูดมีเสน่ห์เป็นที่จับใจไพเราะด้วยสัตย์ด้วยศีล เทวดาและมนุษย์เคารพรัก ผู้มีสัตย์มีศีลไม่เป็นภัยแก่ตนและผู้อื่น

ห้า เป็นผู้มีสติปัญญาดีและเฉลียวฉลาด ไม่หลงหน้า หลงหลัง จับโน่นชนนี่เหมือนคนบ้าบอหาสติไม่ได้

ผู้มีศีลเป็นผู้ปลูกและส่งเสริมความสุขบนหัวใจคนและสัตว์ทั่วโลก ให้มีแต่ความอบอุ่นใจ ไม่เป็นที่ระแวงสงสัย ผู้ไม่มีศีลเป็นผู้ทำลายหัวใจคนและสัตว์ให้ได้รับความทุกข์เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ฉะนั้นผู้เห็นคุณค่าของตัวจึงควรเห็นคุณค่าของผู้อื่นว่ามีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ไม่เบียดเบียนทำลายกัน ผู้มีศีลสัตย์เมื่อทำลายขันธ์ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ไม่ตกต่ำ เพราะอำนาจศีลธรรมคุ้มครองรักษาและสนับสนุน จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะพากันรักษาให้บริบูรณ์ เมื่อจากอัตภาพนี้จะมีสวรรค์เป็นที่ไปโดยไม่ต้องสงสัย ธรรมที่สั่งสอนแล้วควรจดจำให้ดี ปฏิบัติให้มั่นคง จะเป็นผู้ทรงสมบัติทุกอย่างในอัตภาพที่จะมาถึงในไม่ช้านี้แน่นอน"


หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ได้บันทึกเรื่องราวโดยเฉพาะคำเทศน์สอนดวงวิญาณสองพี่น้องที่วัดป่าอาจารย์มั่น บ้านแม่กอย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ไว้ในประวัติหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต (รูปจาก ฐานข้อมูล
Admin)

พอจบธรรมเทศนา สองพี่น้องมีใจร่าเริงในธรรม และขอสมาทานศีล 5 กับท่าน ท่านได้ประกาศศีล 5 ให้แก่สองพี่น้องตามเจตนา

พอเสร็จการแสดงธรรมและประกาศศีล 5 แล้ว คนทั้งสองได้นมัสการลาและหายตัวไปในที่และขณะนั้นนั่นเอง ด้วยอำนาจกุศลศีลทานที่ได้สร้างมาและกุศลที่ฟังธรรมรักษาศีล 5 กับท่านอาจารย์ สองพี่น้องได้เปลี่ยนภพถ่ายภูมิที่เป็นอยู่ ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์พิภพในลำดับต่อมาโดยไม่ชักช้า และได้พากันมานมัสการเยี่ยมฟังเทศน์ท่านอาจารย์เสมอมิได้ขาด พร้อมด้วยความขอบพระคุณท่านที่เมตตาอนุเคราะห์ให้อุบายสั่งสอนต่าง ๆ จนได้พ้นจากความวกเวียนไปมาในสถานที่นั้น แล้วไปเกิดในสวรรค์เสวยทิพยสมบัติที่ไปรอคอยอยู่เป็นเวลานานแล้วอย่างมีความสุข เวลาที่ลงมาเยี่ยมท่านได้เล่าเรื่องความห่วงใยว่าเป็นภัยแก่จิตใจอย่างยิ่ง ทำให้เนิ่นช้าต่อทางดำเนินและภพชาติที่ควรจะได้จะถึง พอได้รับอุบายแล้วก็สามารถตัดความห่วงใยเหล่านั้นเสียได้ จิตพ้นจากความผูกพันไปเกิดในสวรรค์ได้โดยสะดวก

ลำดับนั้นท่านได้แสดงความห่วงใยของจิตว่า เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดอุปสรรคได้อย่างมากมาย เวลาจะพรากจากขันธ์ นักปราชญ์ท่านจึงสอนให้ระวังจิตไม่ให้เป็นอารมณ์ห่วงใยกับสิ่งใด ๆ ทั้งสิ้น กลัวจิตจะประหวัดกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเป็นที่รักบ้าง เป็นอารมณ์ขุ่นมัวในใจบ้าง เช่น ความโกรธแค้นในผู้หนึ่งผู้ใด ขณะจิตจะออกจากร่างเป็นขณะที่สำคัญมาก อาจไปเกาะเอาอารมณ์ที่ไม่ดีเข้าแล้วกลับมาเป็นไฟเผาตัว จากนั้นก็ไปเกิดในทุคติภพมีนรก เปรต อสุรกาย สัตว์ดิรัจฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งล้วนเป็นภพกำเนิดที่ไม่พึงปรารถนา และให้ความทุกข์ร้อนตลอดภพนั้น ๆ

ฉะนั้นการฝึกอบรมจิตเมื่ออยู่ในฐานะที่ควรทำได้จึงควรสนใจอย่างยิ่ง ฝึกให้รู้เรื่องของจิตเสียแต่ยังเป็นคนที่รู้ ๆ เห็น ๆ เรื่องของตนอยู่ทุกขณะ นี้เป็นความชอบแท้ เมื่อทราบว่ายังบกพร่องส่วนใดจะได้รีบแก้ไขดัดแปลงเสีย เวลาเข้าตาจนแล้วจะได้มีทางรักษาตัวทันกับเหตุการณ์ ไม่ต้องวิตกวิจารณ์ว่าจะเสียทีให้ความชั่วทั้งหลายเข้ามาเหยียบย่ำทำลายได้ ยิ่งฝึกให้ขาดความสืบต่อกับอารมณ์ดีชั่วทั้งหลายอย่างประจักษ์แล้ว ยิ่งประเสริฐเลิศโลกไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน นักปราชญ์ท่านเห็นความสำคัญของใจว่าประเสริฐยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ ในสามภพ ท่านจึงพยายามฝึกใจให้ไปถูกทาง และสั่งสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติต่อใจด้วยดี

เพราะการขาดทุนสูญทรัพย์นอกภายใน ขึ้นอยู่กับใจเป็นสำคัญ เวลาเป็นอยู่ก็อยู่ด้วยใจ สุขด้วยใจ ทุกข์ด้วยใจ เวลาตายไปก็ไปด้วยใจ เกิดเป็นกำเนิดต่าง ๆ ดีหรือชั่วก็เกิดด้วยใจ เสวยกรรมทั้งหนักทั้งเบา ทั้งดีทั้งชั่ว ด้วยใจเป็นเหตุทั้งมวล ไม่มีสิ่งใดพาให้เป็น มีใจดวงเดียวเท่านั้นพาให้เป็นไป ใจจึงควรได้รับการอบรมในทางที่ถูกที่ดีเสมอ เพื่อรู้วิธีปฏิบัติต่อตัวเองทั้งปัจจุบันและอนาคต พอจบการแสดงธรรมเทวดาได้รับความแช่มชื่นเบิกบานใจเป็นอันมาก และกล่าวสรรเสริญธรรมที่ท่านแสดงว่าเป็นยอดแห่งธรรม ซึ่งไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่อื่นใดมาก่อนเลย เสร็จแล้วพากันกระทำประทักษิณสามรอบ และถอยห่างออกไปจนพ้นเขตที่ท่านพักอยู่ แล้วต่างก็เหาะลอยขึ้นบนอากาศ ราวกับสำลีอันละเอียดถูกลมพัดปลิวขึ้นสู่อากาศฉะนั้น (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)

รูปภาพถูกใส่ลงไปแล้ว
หลวงพ่อพิชิต ชิตมาโร อดีตเจ้าอาวาสวัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ท่านได้มาจำพรรษาที่วัดป่าอาจารย์มั่น ในพรรษากาลปี พ.ศ. 2540-2541 ท่านฟังเรื่องราวจากคนเก่าคนแก่ในพื้นที่ ได้เล่าว่าดวงวิญญาณทั้งสองได้ขอให้องค์หลวงปู่มั่น สร้างเจดีย์ที่ค้างอยู่ให้เสร็จ แต่องค์หลวงปู่มั่น ได้เทศน์ว่าบุญนั้นสำเร็จไปแล้ว จะนำอิฐจากสิ่งก่อสร้างที่ยังค้างคาอยู่นั้น มาเรียงเป็นทางจงกรมด้วยองค์ท่านเอง ซึ่งปรากฏมาจนถึงปัจจุบัน (รูปโดย Admin)

2.2 หลวงปู่มั่นเมตตานำอิฐมาเรียงเป็นทางเดินจงกรม จากการเปิดเผยของหลวงพ่อพิชิต ที่ท่านได้มาจำพรรษาในปี พ.ศ. 2540-2541

          จากคำบอกเล่าของหลวงพ่อพิชิต ชิตมาโร อดีตเจ้าอาวาสวัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย ท่านได้มาจำพรรษา ณ วัดป่าอาจารย์มั่น ในพรรษากาลปี พ.ศ.2540-2541 มีโอกาสฟังมุขปาฐะในพื้นที่มาแต่ก่อน ซึ่งมีส่วนเพิ่มเติมจากบันทึกของหลวงตามหาบัว ทำให้ทราบถึงความเป็นมาของทางเดินจงกรมองค์หลวงปู่มั่น ที่ดวงวิญญาณทั้งสองดวงนั้น ได้ร้องขอให้องค์หลวงปู่มั่น ช่วยก่อสร้างเจดีย์ให้แล้วเสร็จ แต่องค์หลวงปู่มั่นได้บอกว่า ท่านจะนำอิฐเหล่านั้นมาเรียงเป็นทางจงกรม โดยองค์ท่านได้นำอิฐมาเรียงด้วยองค์เอง ซึ่งทางจงกรมยังปรากฏถึงทุกวันนี้ และกล่าวกันว่า เป็นทางจงกรมขององค์หลวงปู่มั่น ที่เหลืออยู่เพียงแห่งเดียวในภาคเหนือ ซึ่ง รศ.ดร.ปฐม-ภัทรา นิคมานนท์ ได้สัมภาษณ์หลวงพ่อพิชิต และได้บันทึกไว้ใน พระกรรมฐานสู่ล้านนา ตอน 2 ดังนี้

          "... ตอนหลวงปู่มั่น ไปปักกลดอยู่ที่นั่น เจ้าของเจดีย์ที่พังทลายตรงนั้นได้ออกมาให้ท่านเห็น 2 คน หลวงปู่ถามว่าพวกเจ้ามาจากไหนบอกว่ามาจากตรงนี้แหละ พวกข้าพเจ้าสร้างเจดีย์ยังไม่เสร็จก็เลยตายอยากขอให้ตุ๊เจ้าช่วยสร้างต่อเติมด้วย

หลวงปู่บอกว่า เฮ้ย! เราไม่ใช่นักก่อสร้าง แต่จะช่วยพวกเธอ จะได้ไม่ต้องเป็นเปรตเฝ้าอยู่ที่นี่ เราจะเอาอิฐมาเรียงเป็นทางจงกรมแล้วเราจะเดินอุทิศบุญส่งให้พวกเธอ วิญญาณนั้นก็ปลาบปลื้มยินดี

ท่านก็เอาอิฐมาเรียงเป็นทางเดินจงกรมตามที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ทางจงกรมนี้หลวงปู่มั่นท่านเรียงเอง

หลวงปู่มั่น ท่านเคยแขวนกลดตรงนั้น..." (รศ.ดร.ปฐม-ภัทรา นิคมานนท์ จากหนังสือ พระกรรมฐานสู่ล้านนา ตอน 2, พ.ศ.2547: 532-539)


บ่อน้ำเก่าสมัยองค์หลวงปู่มั่น ณ วัดป่าอาจารย์มั่น บ้านแม่กอย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ (รูปโดย Admin)

3. โปรดสายธรรม จากบันทึก หลวงปู่จาม

          จากบันทึกประวัติหลวงปู่จาม มหาปุญโญ ได้กล่าวถึงสิ่งที่องค์หลวงปู่มั่น ยังติดขัดทำให้ไม่สามารถรู้แจ้งได้ ยังคงมีผู้ที่ท่านจะต้องเกี่ยวข้องสงเคราะห์กัน ซึ่งเรื่องนี้ พระอาจารย์น้อย สุภโร ได้ถ่ายทอดให้หลวงปู่จาม ได้จดจำอีกทอด เมื่อท่านปลดเปลื้องผู้ที่ท่านต้องสงเคราะห์แล้ว ท่านถึงทำความรู้แจ้งสำเร็จต่อมา ซึ่งจากรายละเอียดผู้ที่ได้ช่วยสร้างเสนาสนะวัดร้างป่าแดงให้ในหัวข้อที่ 1 อีกทั้งดวงวิญญาณทั้งสองดวงที่ท่านได้แผ่เมตตาให้สู่ภพภูมิที่ดีในหัวข้อที่ 2 อาจหมายถึงผู้ที่ท่านจะต้องสงเคราะห์เป็นลำดับสุดท้าย

          โดยมีรายละเอียด ตามบันทึกในประวัติหลวงปู่จาม ดังนี้

...ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ เก่งปริยัติ เก่งปฏิบัติสัมภิทา ติดอยู่กับปริยัติตำรา

เพิ่นครูบาอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) เก่งปฏิบัติ เก่งธุดงค์ แต่มาติดอยู่กับการที่ยังหมางคู่บำเพ็ญปลดปลงแก้ไขยังไม่ได้ แม้ไม่ติดในภพ แต่ยังติดในวิภพ คือสายบุญสายธรรมที่ได้ประกอบดีชั่วร่วมกันมา พอธุดงค์ไปปะอยู่บ้านแม่กอย จึงได้ปลดเปลื้องแก้ไขออกไปได้

          ท่านเจ้าคุณพระอุบาลีฯ ปฏิบัติไปแล้วมาติดอยู่กับปฏิจจสมุปบาทอวิชชาของอนัตตา

          เพิ่นครูบาอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) มาติดอยู่กับไตรลักษณญาณตัวสุดท้ายอนัตตาวิภัช...(พระธมฺมธโร ครูบาแจ๋ว พ.ศ. 2555:182)

          ... ท่านอาจารย์แหวนเล่าให้ฟังอีกว่า เพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) หลบหลีกไปแก้ไขตนเอง แต่ยังติดอยู่กับคู่บำเพ็ญบารมีที่เคยร่วมสร้างดีชั่วด้วยกันมา ยังติดขัดอยู่ในใจ ต้องเสาะหาแล้วสงเคราะห์ปลดเปลื้องสิ่งนี้ก่อนจึงจะหลุดไปได้ สมกับคำที่ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ว่า เห็นตัวเองแล้วแต่ยังไม่เห็นแจ้งในตัว

จนในที่สุดเพิ่นครูบาอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) เสาะหาไปเห็นได้ อยู่บ้านแม่กอยเป็นสาวเฒ่า สร้างเสนาสนะถวายเพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) เพิ่นแก้ไขทั้งกายหยาบจิตหยาบ และแก้ไขทั้งกายละเอียดจิตละเอียด สงเคราะห์สาวเฒ่าคนนั้นจนได้อนาคามี ธรรมเป็นตนได้ อันนี้ท่านอาจารย์น้อย (สุภโร) ผู้อยู่ด้วยในพรรษานั้นเล่าให้ฟัง

ท่านอาจารย์น้อย (สุภโร) รูปนี้เป็นคนบ้านนาผักบุ้ง ตำบลกลางใหญ่ อำเภอบ้านผือ เป็นญาติของท่านอาจารย์เทสก์ (เทสรํสี) อยู่จำพรรษากับเพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) บ้านแม่กอย

เพิ่นครูอาจารย์มั่น (ภูริทตฺโต) สอนให้เพ่งพิจารณากาย ทั้งส่วนอสุภะ ส่วนธาตุ ส่วนปฏิกูล ส่วนอุคคหะ ส่วนปฏิภาค สอนให้รู้สุขทุกข์ สอนให้รู้จักจิต และสอนให้รู้พิจารณาธรรม จำแนกแต่อาการหยาบจนละเอียด ด้วยอาการแห่งขันธ์ จนเห็นเป็นพระไตรลักษณาญาณ จนที่สุดได้ญาณปลดวางพ้นไปได้...(พระธมฺมธโร ครูบาแจ๋ว พ.ศ. 2555:182:322)


บริเวณทางจงกรมองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ณ วัดป่าอาจารย์มั่น บ้านแม่กอย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ (รูปโดย Admin)

4. อาสภิวาจา ณ วัดร้างป่าแดง

          หลวงพ่อเปลี่ยน ปญฺญาปทีโป ได้เปิดเผยเรื่องราวจากความทรงจำของ หลวงปู่คำอ้าย ซึ่งกล่าวว่า เป็นชาวบ้านปง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เป็นผู้ที่มีครอบครัวมาก่อน ที่ได้มีโอกาสฟังเทศน์จากองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เมื่อครั้งองค์มาพักที่วัดอรัญญวิเวก ที่ในอดีตยังคงเป็นที่พักสงฆ์บ้านปง มีความเบื่อหน่ายในการครองเรือน ศรัทธาออกบวชเป็นผ้าขาวออกติดตามองค์หลวงปู่มั่น เมื่อองค์หลวงปู่มั่นกลับไปภาคอีสานแล้ว จึงได้บวชเป็นเณรและเป็นพระภิกษุตามลำดับ เมื่อบวชแล้วยังได้ไปจำพรรษาอยู่ทางภาคอีสานอยู่ถึง 7 ปี ทำให้จดจำครูบาอาจารย์ทางภาคอีสานได้ ภายหลังกลับจากภาคอีสานได้มาจำพรรษากับหลวงพ่อเปลี่ยน ได้เล่าเรื่องราวต่างๆ ไว้ จนกระทั่งท่านได้มรณภาพเมื่อปี พ.ศ.2517 บวชพรรษาได้ 29 พรรษา

จากการที่ได้เป็นผ้าขาวติดตามองค์หลวงปู่มั่น ทำให้มีโอกาสได้ฟัง อาสภิวาจา หรือ ประกาศการบรรลุธรรมจากองค์หลวงปู่มั่น ซึ่งองค์ท่านกล่าวไว้หลังจากแสดงธรรมจบลง หลวงปู่คำอ้ายได้เล่าให้หลวงพ่อเปลี่ยนฟังว่า องค์หลวงปู่มั่นได้กล่าวไว้ 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่ออยู่ดอยนะโม ครั้งที่สอง เมื่ออยู่ที่วัดร้างป่าแดง ในครั้งนั้นมีศิษย์ที่รับฟังเทศน์ด้วย ได้แก่  หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่ชอบ หลวงปู่ขาว ซึ่ง รศ.ดร.ปฐม-ภัทรา นิคมานนท์ ได้บันทึกจากคำบอกเล่าของหลวงพ่อเปลี่ยนไว้ใน พระกรรมฐานสู่ล้านนา ตอน 2 แต่ไม่สามารถระบุช่วงเวลาที่ท่านกล่าวได้ แต่อาจจะประมาณการณ์ได้ว่า น่าจะอยู่ในช่วงก่อนปี พ.ศ. 2482 ที่หลวงปู่เทสก์ได้กลับไปภาคอีสานแล้ว จากบันทึกนั้น องค์หลวงปู่มั่นกล่าวไว้ว่า

"ผมคงไม่มีงานที่จะทำอยู่กับพวกท่านหรอก ผมก็คงจะอยู่กับพวกท่านไป แม้ไม่มีงานทำก็จะอยู่กับพวกท่านไป พวกท่านก็ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ แต่พวกท่านอย่าไปบอกญาติโยมนะ อย่าไปบอกใคร" (รศ.ดร.ปฐม-ภัทรา นิคมานนท์, พระกรรมฐานสู่ล้านนา, 2547:513.)


หลวงปู่สังข์ สงฺกิจฺโจ ท่านเป็นครูบาอาจารย์อาวุโสในภาคเหนือ ได้เคยให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานที่บรรลุธรรมองค์หลวงปู่มั่นไว้ (รูปโดย Admin)

อนึ่ง Admin ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ หลวงปู่สังข์ สงฺกิจฺโจ ได้เคยเล่าให้ Admin ฟังโดยตรง เมื่อเดือนเมษายน 2556 ว่า ได้เคยอ่านหนังสือธรรมะที่ท่านเองก็จำไม่ได้ว่า มาจากหนังสือเล่มใด ได้ทำให้ท่านเห็นว่า องค์หลวงปู่มั่น น่าจะสำเร็จธรรมที่ วัดป่าอาจารย์มั่น โดยมีใจความว่า องค์หลวงปู่มั่นสำเร็จธรรมที่วัดป่าอาจารย์มั่น เมื่อสำเร็จธรรมแล้ว องค์ท่านได้เข้าวิมุตติสุข 7 วัน 7 คืน


หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ องค์ท่านได้มาจำพรรษาตามที่องค์หลวงปู่มั่นได้บัญชามา ณ วัดป่าอาจารย์มั่น บ้านแม่กอย อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ (รูปจาก ฐานข้อมูล Admin)


5. ศิษย์มาจำพรรษา

          จากในหัวข้อที่ 1 ที่กล่าวว่า องค์หลวงปู่มั่น ได้เริ่มมาพำนักที่วัดร้างป่าแดง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 จึงเป็นจุดเริ่มต้นของที่พักสงฆ์แห่งนี้ องค์หลวงปู่มั่นอาจเคยมาพำนักอีกเป็นเวลาสั้นๆ และคาดว่ามีศิษย์ได้อยู่พำนักจำพรรษามาต่อเนื่อง จนองค์หลวงปู่มั่น เมตตามาจำพรรษาในปี พ.ศ. 2482 ดังเช่นจากประวัติหลวงปู่เหรียญ ที่องค์ท่านได้รับบัญชาให้มาจำพรรษาในปี พ.ศ. 2481 โดยมีรายละเอียด ดังนี้  

จากประวัติหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ ได้กล่าวไว้ว่า ก่อนเข้าพรรษาปี พ.ศ. 2481 องค์หลวงปู่มั่น ได้พำนักอยู่ในบริเวณที่เป็นป่าละเมาะใกล้ๆ โรงเรียนเกษตรแม่โจ้ (ปัจจุบัน คือ มหาวิทยาลัยแม่โจ้) อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ จนใกล้จะเข้าพรรษา ท่านได้รับนิมนต์จากเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) ขณะนั้นดำรงสมณศักดิ์ที่ พระญาณดิลก ปฏิบัติหน้าที่ผู้กำกับการวัดเจดีย์หลวงและจากท่านเจ้าคุณพระพุทธิโสภณ (แหวว ธมฺมทินฺโน) เจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวงในขณะนั้น ให้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดเจดีย์หลวงด้วยกันเพื่อโปรดหมู่คณะ

จากบันทึกประวัติหลวงปู่เหรียญ ได้กล่าวไว้ว่า

...อาตมา (หลวงปู่เหรียญ) ได้ร่วมเดินทางไปพร้อมกับท่านพระอาจารย์ใหญ่ และหมู่คณะอีกหลายรูป เมื่อคณะของท่านพระอาจารย์ และอาตมาไปถึงวัดเจดีย์หลวง ก็ปรากฏว่า เสนาสนะในวัดเจดีย์หลวงมีไม่เพียงพอที่จะอยู่ร่วมจำพรรษา ประกอบกับญาติโยมทางอำเภอพร้าว มาขอนิมนต์พระจากพระอาจารย์มั่น ให้ไปจำพรรษาที่อำเภอพร้าว ท่านพระอาจารย์จึงแต่งให้พระ 3 รูป ไปฉลองศรัทธาเขา ซึ่งก็มีพระอาจารย์เนียม โชติโก พระอาจารย์อ่อนสี สุเมโธ และอาตมา... (ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ, พ.ศ. 2552:89-106)



ดอยพระเจ้า อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ภายหลังจากออกพรรษาปี พ.ศ. 2481 องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้พาลูกศิษย์มาวิเวก ได้แก่ พระอาจารย์เนียม โชติโก พระอาจารย์อ่อนสี สุเมโธ พระอาจารย์บุญธรรม และหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ (รูปโดย Admin)

6. ออกพรรษาโยมนิมนต์องค์หลวงปู่มั่นจาริกไป อ.พร้าว และออกวิเวกต่อ

ภายหลังจากออกพรรษาปี พ.ศ. 2481 จากประวัติหลวงปู่เหรียญ ได้กล่าวไว้ว่า โยม อ.พร้าว ได้นิมนต์องค์หลวงปู่มั่น จากวัดเจดีย์หลวง มาเทศน์ในงานกฐิน ระยะต่อมาคาดว่า องค์หลวงปู่มั่น ได้วิเวกไปยังสถานที่ต่างๆ ใน อ.พร้าว จนกระทั่งจำพรรษาในปี พ.ศ.2482 ซึ่งเป็นพรรษาสุดท้ายในภาคเหนือ ตามบันทึกประวัติหลวงปู่เหรียญ ได้กล่าวไว้ ดังนี้

...เมื่อออกพรรษาแล้ว คณะญาติโยมอำเภอพร้าว ได้จัดคนไปนิมนต์ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น มาร่วมในงานทอดกฐิน ท่านอาจารย์ใหญ่มั่น มาร่วมในงานทอดกฐิน ตกตอนเย็นคนมาฟังเทศน์เยอะมาก ท่านพระอาจารย์มั่นเทศน์ไปๆ คนก็หนีไปๆ กว่าจะเทศน์จบ เหลือคนฟังอยู่เพียง 4-5 คน หมู่เพื่อนมาคุยกันว่า ท่านพระอาจารย์ใหญ่เทศน์เป็นธรรมปฏิบัติ สำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ผู้ไม่ปฏิบัติธรรม ฟังแล้วไม่เข้าใจ... (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)

ครั้นเสร็จงานกฐินไม่นาน ท่านพระอาจารย์ได้พาไปวิเวกอยู่บนเขา ชื่อว่า ดอยพระเจ้า ในเขตอำเภอพร้าวนั่นเอง

ครั้งนั้นมีผู้ร่วมเดินทางไปด้วยกัน 5 รูป คือ ท่านพระอาจารย์มั่น พระอาจารย์เนียม โชติโก พระอาจารย์อ่อนสี สุเมโธ พระอาจารย์บุญธรรม และอาตมา

ลักษณะของดอยพระเจ้า เป็นดอยหัวโล้นไม่ค่อยมีต้นไม้เท่าไรนัก แต่ก็ยังดีที่เชียงใหม่เป็นเมืองหนาว จึงทำให้อากาศไม่ร้อนเท่าไรนัก

อาตมาอยู่ร่วมกับท่านพระอาจารย์ใหญ่ประมาณ 1 เดือนเศษ ต่อมาอาตมาจึงได้ขออนุญาตท่านพระอาจารย์ ไปภาวนาอยู่บนยอดเขากับพระอาจารย์เนียม ยอดเขาแห่งนั้นชาวบ้านเรียกว่า ธาตุแม่โกน ..." (ที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ, พ.ศ. 2552:89-106)

7. รู้ที่มาพระนักมวยเก่า

          จากบันทึกประวัติ หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง ได้กล่าวถึง พระอาจารย์ทองปาน ได้ถูกองค์หลวงปู่มั่นใช้ปรจิตตวิชาฝึกหัดดัดนิสัย โดยพระอาจารย์ทองปาน เป็นชาวอุบลราชธานี ติดตามพระอาจารย์กงมา มาอยู่ที่วัดทรายงาม จ.จันทบุรี หลังจากออกจากจันทบุรีแล้ว ก็เที่ยวธุดงค์มาทางเหนือเพื่อตามหาองค์หลวงปู่มั่น โดยท่านมาก่อนหลวงปู่เจี๊ยะ ตอนนั้นอยู่ที่วัดร้างป่าแดง บ้านแม่กอย ก่อนที่พระอาจารย์ทองปานจะอุปสมบทนั้น ท่านเป็นนักมวยมาก่อน แต่หมู่พระสงฆ์ที่อยู่ด้วยกันไม่ทราบเลย ด้วยท่านก็มีกิริยาที่เรียบร้อย แต่อาจจะพกในสิ่งที่สมณะไม่ควรพกติดตัวมาด้วย ทำให้องค์หลวงปู่มั่นได้เมตตาชี้แนะ

          ซึ่งเรื่องนี้ปรากฏรายละเอียดในประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดย หลวงตามหาบัว ดังนี้

          ... การแสดงภาพนิมิตให้ปรากฏแก่จิตตภาวนานั้น จะขอยกตัวอย่างมาให้ท่านผู้อ่านทราบพอเป็นเครื่องเทียบเคียงกับนิมิตทั้งหลาย ที่เคยปรากฏแก่จิตตภาวนาของท่านพระอาจารย์มั่นเสมอมา ซึ่งมีลักษณะต่าง ๆ กันตามรูปการณ์ของผู้เป็นต้นเหตุแห่งนิมิตนั้น ๆ คือมีพระรูปหนึ่งเมื่อเป็นฆราวาสเธอเคยเป็นนักมวยที่มีชื่อเสียงในวงการมวย เวลาบวชแล้วเกิดความเลื่อมใสอยากออกปฏิบัติธุดงคกรรมฐาน ได้ทราบกิตติศัพท์กิตติคุณของท่านพระอาจารย์มั่นว่า เป็นพระปฏิบัติดีและเชี่ยวชาญทางจิตตภาวนาน่าเคารพเลื่อมใสมาก จึงออกเดินทางมุ่งหน้าไปสำนักท่านพระอาจารย์มั่น แต่ขณะที่จะออกเดินทางไปหาท่าน มิได้นึกเฉลียวใจเรื่องของตัว คือเธอได้ถ่ายภาพนักมวยชกกันท่าต่าง ๆ ไว้ในกระเป๋าราว 10 กว่าแผ่นติดย่ามไปด้วย แต่ตอนเธอถ่ายภาพนั้นจะถ่ายแต่เมื่อไรท่านมิได้เล่าให้ฟัง

เวลาเธอออกเดินทางจากพระนครไปเชียงใหม่หาท่านพระอาจารย์มั่นที่อยู่ในภูเขาลึก จึงนำติดตัวไปด้วย พอไปถึงก็กราบรายงานตัวและความประสงค์ถวายท่านให้ทราบ ขณะนั้นท่านก็มิได้พูดเป็นเชิงตำหนิหรือชมเชยแต่อย่างใด เป็นอันว่าท่านรับให้อยู่ในสำนักด้วย ตกกลางคืนท่านคงพิจารณาเรื่องพระรูปนั้นอย่างละเอียดแน่นอน พอตอนเช้าเวลาพระมารวมกันที่บริเวณที่ฉัน ท่านก็ออกมาพอดี และเริ่มพูดเรื่องพระรูปนั้นออกมาทันทีว่า ท่าน…..นี้ตามเจตนาเดิมก็มุ่งมาเพื่อศึกษาอรรถธรรม มองดูอากัปกิริยาที่แสดงออกก็ไม่แสลงหูแสลงตา เป็นกิริยาที่น่าสงสาร แต่คืนนี้ทำไมท่านนี้แสดงกิริยาน่ากลัวพิลึก คือผมกำลังนั่งภาวนาอยู่ ปรากฏว่าท่าน…..เดินมาอยู่ตรงหน้าผม ห่างกันประมาณหนึ่งวาเศษ แล้วตั้งหมัดตั้งมวยออกท่านั้นท่านี้ให้ผมดูอยู่พักใหญ่ แล้วค่อยถอยห่างออกไป จากนั้นก็เดินชกลมชกแล้งเตะเมฆเตะหมอก เตะซ้ายถีบขวาไปจนลับสายตา ท่านนี้เคยเป็นนักมวยมาหรืออย่างไรก่อนจะมาบวช ถึงได้แสดงลวดลายนักมวยให้ดูเป็นการใหญ่

ขณะนั้นพระที่อยู่กับท่านและพระที่เป็นนักมวย ต่างนั่งนิ่งเงียบด้วยความฉงนสนเท่ห์ เฉพาะรูปนั้นมองดูหน้าซีดเซียวไปหมด ว่าอย่างไรท่าน…… ท่านเป็นอย่างไรในความรู้สึกถึงได้มาทำอย่างนั้นให้ผมดู แต่ดีอยู่หน่อยที่ไม่มาต่อยเอาผมเข้า เช้าวันนั้นท่านพูดเพียงเท่านั้นก็ยุติเพราะได้เวลาออกบิณฑบาต หลังจากนั้นก็มิได้พูดอะไรต่อไปอีก ตกกลางคืนท่านอบรมพระเสร็จแล้วต่างก็แยกย้ายกันไป เรื่องก็ไม่มีอะไร พอตกกลางคืนท่านคงพิจารณาพระรูปนั้นอีก จึงได้เรื่องพระรูปนั้นมาพูดอีกในเช้าวันต่อมาว่า

ท่าน….นี้ท่านมาหาผมเพื่ออะไรแน่ คืนนี้ท่านก็มาตั้งหมัดตั้งมวยโดดโน้นเตะนี้ให้ผมดูเกือบตลอดคืน เรื่องท่านแสดงความผิดปกติของพระผู้มาด้วยเจตนาหวังดีมาได้สองคืนแล้ว ท่านมีความรู้สึกอย่างไร ทั้งก่อนจะมาหาผมและขณะที่มาอยู่กับผมขณะนี้ นิมนต์ท่านเล่าความจริงให้ผมฟังด้วย ไม่เช่นนั้นผมเห็นจะรับท่านไว้ในสำนักไม่ได้ เพราะเป็นมาได้สองคืนแล้ว ที่ผมไม่เคยปรากฏลักษณะนี้มาก่อนเลย พระรูปนั้นนั่งตัวสั่นเทา ๆ มองดูหน้าซีดไปหมดเหมือนคนจะเป็นลมและจะล้มลงในขณะนั้น พอดีมีพระรูปหนึ่งท่านเห็นท่าไม่ดี เลยรีบกราบเรียนขอโอกาสท่านอาจารย์มั่นพูดกับเธอ ซึ่งกำลังจะสลบอยู่ในขณะนั้นว่า

นิมนต์ท่านกราบเรียนท่านอาจารย์โดยตรงตามเรื่องที่ท่านมีความรู้สึกอย่างไร เพราะเท่าที่ท่านอาจารย์ถามก็เพื่อทราบความจริงเท่านั้น มิได้มุ่งความเสียหายแก่ท่านแม้น้อยแต่อย่างไร เท่าที่พวกผมอยู่กับท่านมาก็ใช่อยู่กันด้วยความบริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสโดยไม่มีความผิดที่จะมิให้ท่านดุด่าว่ากล่าวอะไรได้ แต่อยู่ด้วยกันในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ซึ่งเหมือนพ่อแม่กับลูกอยู่ด้วยกัน ย่อมมีการดุด่าว่ากล่าวกันตลอดมา ในเมื่อผู้ใดทำผิดหูผิดตาท่านในฐานะที่ท่านเป็นครูอาจารย์ผู้สอดส่องมองดูเพื่อความดีงามของบรรดาศิษย์ ก็จำต้องมีการสอบถามและว่ากล่าวสั่งสอนไปตามเหตุการณ์

พวกผมเคยถูกดุด่าว่ากล่าวจากท่านมาเป็นประจำยิ่งกว่าที่ท่านว่าให้ท่านเสียอีก ขนาดไล่หนีจากวัดในเดี๋ยวนั้นก็ยังมี แต่ก็ยังอยู่กับท่านมาได้จนทุกวันนี้ เมื่อรู้สึกโทษและยอมตนว่าผิดแล้ว ท่านเองก็ไม่เห็นขับไล่ไสส่งไปไหนอีก คงอยู่ด้วยกันมาดังที่ท่านเห็นอยู่ขณะนี้แล คำที่ท่านกำลังเตือนท่านอยู่ขณะนี้ขอนิมนต์พิจารณาด้วยดี ตามที่พวกผมฟังดูแล้วรู้สึกว่าไม่มีอะไรพอจะกลัวท่านจนเลยขอบเขตแห่งความพอดี ถ้าท่านมีอะไรก็นิมนต์กราบเรียนท่านตามความจริง เมื่อไม่มีอะไรผิดหรือสุดวิสัยที่จะคิดค้นมาเล่าถวายได้ ก็กราบเรียนท่านโดยตรงว่าสุดวิสัยที่จะตามรู้ในเรื่องอดีตที่ล่วงมาแล้ว ท่านจะฆ่าก็ยอมตาย ท่านจะขายก็ยอมเป็นสินค้า ท่านจะขับไล่ไสส่งไปไหนก็สุดแต่กรรมของตัวจะพาให้เป็นไป ดังนี้แล้วเรื่องก็จะยุติลงได้

พอท่านองค์นั้นพูดจบลง ท่านอาจารย์ก็ถามเธอซ้ำอีกว่า ว่าอย่างไรเล่าท่าน? ผมเองก็มิได้คิดจะหาเรื่องหาราวอะไรใส่ท่านโดยไม่มีสาเหตุ แต่พอหลับตาลงไปก็เห็นแต่เรื่องท่านมาขวางหน้าอยู่แทบทั้งคืน จนเกิดความสลดสังเวชใจว่า พระทั้งองค์ทำไมมาเป็นได้อย่างนี้ และเป็นได้ทุกคืนที่ท่านมาอยู่กับผมที่นี่แล้ว ก็ต้องถามท่านผู้เป็นต้นเหตุว่า ท่านจะมีอะไรที่ไม่ดีไม่งามอยู่บ้างจึงมาแสดงเหตุอย่างนั้นไม่ยอมลดละ หรือว่าความรู้ผมซึ่งเคยเชื่อแน่ในใจตลอดมานั้นมันหลอกลวงผมและทำให้ท่านเสื่อมเสียไปด้วย จึงขอให้ท่านพูดตามความสัตย์จริงให้ผมฟัง ถ้าท่านยังบริสุทธิ์ดีอยู่ เป็นแต่ความรู้ผมมันพาให้เป็นบ้าไปเอง ก็เท่ากับผมก็เป็นพระบ้าองค์หนึ่ง ซึ่งไม่ควรอยู่กับหมู่คณะต่อไป จะทำให้หมู่พวกล่มจมไปด้วย ต้องหนีไปเที่ยวซุกซ่อนตัวอยู่ตามแบบบ้าของตน และต้องระงับการอบรมสั่งสอนใคร ๆ ทันที ขืนสั่งสอนต่อไปโลกจะฉิบหายล่มจมไปเสียหมด เพราะความรู้บ้า ๆ ของผมเพียงคนเดียวเป็นสาเหตุ

ท่านที่เคยเตือน ๆ เธอซ้ำอีก เธอจึงเริ่มกราบเรียนเรื่องราวต่อท่านอาจารย์ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแทบไม่เป็นเสียงผู้เสียงคนว่า "ผมเป็นนักมวย" เท่านี้ก็หยุดเอาอย่างห้วน ๆ ท่านถามย้ำอีกว่า ท่านเป็นนักมวยใช่ไหม เธอตอบว่าใช่เพียงคำเดียวเท่านั้น ท่านถามว่า ก็ท่านกำลังเป็นพระอยู่แล้วไปเป็นนักมวยได้อย่างไรกัน หรือเวลาท่านมาที่นี่ก็ชกมวยหาเงินมาตามทางด้วยอย่างนั้นหรือ? ท่านถามอะไรเธอเป็นเหมือนไม่มีสติรับทราบเรื่องผิดถูกดีชั่วอะไรเลย มีแต่ครับเอาเสียเรื่อย ท่านที่เคยพูดกับเธอจึงถามเป็นเชิงชักจูงให้เธอได้สติรับทราบบ้างว่า มิใช่ท่านเคยเป็นนักมวยแต่คราวเป็นฆราวาสโน้น เวลามาบวชเป็นพระแล้วมิได้เป็นอย่างนั้นอีกมิใช่หรือ? เธอตอบว่าใช่ เป็นนักมวยมาแต่คราวเป็นฆราวาส แต่เวลามาบวชเป็นพระแล้วมิได้เป็นอีก

ท่านอาจารย์มั่นเห็นอาการไม่ดี จึงหาอุบายว่าได้เวลาบิณฑบาต หลังจากนั้นท่านก็สั่งพระให้ไปสอบถามเธอโดยเฉพาะ เพราะเธอพูดกับท่านอาจารย์ไม่ได้เรื่องเนื่องจากเธอกลัวท่านมาก หลังจากฉันเสร็จแล้วพระที่เคยพูดกับเธอจึงถือโอกาสไปสอบถามเธอโดยเฉพาะ ก็ได้ความว่าเธอเคยเป็นนักมวยสวนกุหลาบผู้มีชื่อเสียงมาหลายปี เกิดความเบื่อหน่ายทางฆราวาสจึงออกบวชเป็นพระ มุ่งหน้ามาหาท่านอาจารย์ พอได้ทราบความชัดเจนจากเธอแล้ว ก็มากราบเรียนท่านอาจารย์ให้ทราบตามเรื่องที่เป็นมา ท่านก็มิได้ว่าอะไรต่อไป เรื่องของเธอก็เป็นอันผ่านไป

นึกว่าจะเสร็จสิ้นเรื่องของเธอไปเรียบร้อยแล้ว เพราะตอนกลางคืนท่านให้โอวาทเธอองค์นั้นบ้างแล้วก็คงจะไม่ปรารภอะไรอีก แต่ที่ไหนได้ ตอนกลางคืนท่านพิจารณาเรื่องของเธออีก ตอนเช้าก็ได้เรื่องเธอมาพูดในท่ามกลางหมู่คณะอีกตามเคยว่า เรื่องท่าน…..นี้ยังไม่มีแต่ความเคยเป็นนักมวยเท่านั้น แต่ยังมีอะไรแฝงอยู่อีก ขอให้ท่านไปพิจารณาให้ดีอีกที เพียงเคยเป็นนักมวยมาแต่ฆราวาสเท่านั้น เรื่องก็ควรยุติไปแล้วไม่ควรมาปรากฏซ้ำ ๆ ซาก ๆ อีกทำนองนี้ พูดเพียงเท่านั้นก็หยุด พอได้โอกาสพระองค์ที่คุ้นเคยกับเธอก็ไปหาเธอและถามเรื่องราวนั้นอีก ก็ทราบว่าเธอมีรูปภาพคนชกมวยท่าต่าง ๆ ติดมาด้วย จึงให้เธอเอาออกมาดู ก็ได้เห็นภาพมวยท่าต่าง ๆ ราว 10 กว่าแผ่น พระที่ไปดูก็ปักใจลงว่า ต้องเป็นภาพนี้แน่นอนที่ทำให้ท่านเดือดร้อนอยู่ไม่หยุด จงเอาไปทิ้งหรือเผาไฟเสีย เธอก็ปฏิบัติตามและพากันเอาภาพนั้นไปเผาไฟทิ้งจนหมด

จากนั้นก็มิได้มีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นอีกต่อไป ต่างอยู่ด้วยความสงบสุข เธอเองก็เป็นพระปฏิบัติดีมีมรรยาทที่น่าเลื่อมใส ท่านอาจารย์เองก็เมตตาเธอมากตลอดมา โดยมิได้พูดถึงเรื่องอดีตของเธออีกต่อไป จากนั้นเธอก็อยู่ด้วยความผาสุก เวลามีโอกาสพระก็ถามเป็นเชิงล้อเล่นกับเธอเกี่ยวกับเรื่องอดีต เธอพูดให้พระฟังถึงเรื่องท่านอาจารย์ดุเธอว่า เธอตายไปครึ่งหนึ่งแทบไม่มีความรู้สึกรับรู้เรื่องดีชั่วอะไรเลย จึงได้ตอบท่านไปแบบคนตายครึ่งมิใช่คนเต็มเต็ง ถ้าท่านไม่ช่วยเมตตาอนุเคราะห์แล้วคงจะเป็นบ้าไปเลย (คำว่าท่านหมายถึงพระองค์ที่ช่วยพูดแทน) ไม่มีวันกลับเป็นคนดีได้แน่ ๆ แต่ท่านอาจารย์เองท่านก็ฉลาดมาก พอเห็นเราจะเป็นบ้าและตายต่อหน้าท่าน ท่านก็รีบระงับเรื่องลงทันที แล้วพูดเรื่องอื่นมากลบเสีย ทำเป็นเหมือนไม่มีเรื่องนี้อยู่ในใจท่านเลย นี้คือภาพที่ปรากฏทางนิมิตภาวนาที่ท่านเคยใช้เป็นคู่เคียงกันตลอดมามิได้ลดละ เพราะเป็นธรรมจำเป็นไม่ด้อยกว่าปรจิตตวิชชา การกำหนดรู้วาระจิตของผู้อื่น... (หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน) 

ในตอนต่อไป จะได้บอกเล่าถึงช่วงปีสุดท้ายที่องค์หลวงปู่มั่นจำพรรษา ณ วัดป่าอาจารย์มั่น ในพรรษากาลปี พ.ศ. 2482 จนถึงช่วงต้นปี พ.ศ. 2483 ก่อนที่องค์ท่านจะลงไปที่วัดเจดีย์หลวง และกลับคืนสู่แผ่นดินอีสาน

อ้างอิง
หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ประวัติ ข้อวัตร และปฏิปทา เล่ม 1 โดย รศ.ดร.ปฐม-ภัทรา นิคมานนท์ พ.ศ. 2552.
พระกรรมฐานสู่ล้านนา ตอน 2 โดย รศ.ดร.ปฐม-ภัทรา นิคมานนท์ พ.ศ. 2548.
หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าข้าริ้วห่อทอง โดย พระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร พ.ศ. 2547.
บทความ "ประวัติพุทโธหายบนดอยม่อนล้าน" โดย ส.กวีวัฒน์ จากหนังสือ จารึกไว้ในล้านนา พ.ศ.2563.
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ จัดพิมพ์เป็นธรรมบรรณาการ เนื่องในการเสด็จพระราชทานเพลิงศพ พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552.
ธรรมประวัติ หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ ผู้มากมีบุญ โดย พระธมฺมธโร ครูบาแจ๋ว พ.ศ.2555.

แสดงความเห็น  >>คลิ๊กที่นี่<<

< ตอนก่อนหน้า : ตอนต่อไป >