ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ร่วมเดินไปยังสถานที่ที่เกี่ยวเนื่อง กับองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พร้อมเรื่องราวความสำคัญ ศิษยานุศิษย์ที่เข้ามาฝากตัว เป็นสานุศิษย์ถักทอสู่ "กองทัพธรรมพระกรรมฐาน" โดยเว็บมาสเตอร์ www.luangpumun.org และสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ ศิษยานุศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จากรายการ แฟนพันธุ์แท้ 2018

เมนูหลัก ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น คลิ๊ก

จำพรรษาใต้ต้นสารภียกให้เป็นเจ้าอาวาสองค์แรก
วัดพระธาตุจอมแจ้ง อ.แม่สรวย จ.เชียงราย พ.ศ.
2480
ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ตอนที่ 41


บริเวณที่องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เคยจำพรรษา ณ วัดพระธาตุจอมแจ้ง อ.แม่สรวย จ.เชียงราย พ.ศ. 2480 ตามประวัติวัดบันทึกไว้ว่า องค์ท่านกางกลดอยู่ใต้ต้นสารภี ปัจจุบันเป็นต้นสารภีต้นใหม่ ที่เกิดขึ้นจากต้นเดิมที่ล้มลง (รูปโดย Admin)

 

          ในพรรษากาลปี พ.ศ. 2479 องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พร้อมด้วย หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี และ หลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ จำพรรษา ณ ดอยมูเซอ ออกพรรษาแล้ว องค์หลวงปู่มั่น ได้กลับลงไปที่ อ.พร้าว แล้วท่านได้จาริกกลับมาที่ดอยมูเซออีกครั้งพร้อมกับ พระอาจารย์สาร สุจิตฺโต หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ หลวงปู่ขาว อนาลโย ไม่นานก็แยกย้ายกันไปวิเวก โดยองค์หลวงปู่มั่น ได้เดินทางไปพร้อมกับ พระอาจารย์มนู และจำพรรษายังวัดพระธาตุดอยจอมแจ้ง ในปี พ.ศ. 2480 โดยมีพระที่จำพรรษาด้วย คือ หลวงปู่ขาว หลวงปู่พรหม พระอาจารย์มหาทองสุก พระอาจารย์มนู พระอาจารย์เนียม และ พระอาจารย์คำ ขณะนั้นพระธาตุดอยจอมแจ้งยังเป็นวัดร้าง ซึ่งองค์หลวงปู่มั่นเห็นว่าวัดร้างเป็นที่ที่คนทั่วไปหวาดกลัว ไม่กล้าเข้ามารบกวน จึงเป็นที่
เหมาะสมสำหรับผู้ภาวนาหาความวิเวก ส่วนหลวงปู่เทสก์ กับหลวงปู่อ่อนสี ได้แยกไปจำพรรษาที่ บ้างปง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่


จิตกรรมหลวงปู่ขาว อนาลโย กับช้าง ณ พระบรมธาตุธรรมเจดีย์ วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี (รูปโดย
Admin)

ระหว่างเดินทางเจรจากับช้าง

          ในระหว่างจาริกไปยังพระธาตุดอยจอมแจ้งนั้น หลวงปู่ขาวได้ไปวิเวกโปรดชาวเขาแล้ว ได้มาสมทบกับคณะองค์หลวงปู่มั่นเพื่อจะเดินทางต่อไปพระธาตุดอยจอมแจ้ง ระหว่างทางถึงช่องเขาที่จะทะลุไปยังจุดหมาย ปรากฏว่ามีช้างป่ามาขวางทางอยู่ จะเดินหลีกไปที่อื่นก็จะอ้อมไกลมาก หลวงปู่ขาวได้อาสาทำให้ช้างหลีกทางไป โดยการแผ่เมตตาและเจรจาด้วยวาจาที่อ่อนโยน ทำให้ช้างหลบทางให้ โดยมีรายละเอียด ตามบันทึกประวัติหลวงปู่ขาว โดย พระบวร พุทฺธญาโร ดังนี้

          ...หลวงปู่ (ขาว) ออกเดินทางไปสมทบกับพระอาจารย์ใหญ่มั่นในที่อีกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลเท่าใดนัก เพื่อร่วมเดินทางไปวิเวกยังสถานที่แห่งหนึ่งชื่อบ้านแม่กะตำ เมื่อคณะพระธุดงค์เดินไปถึงช่องเขาแห่งหนึ่ง ก็เจอช้างใหญ่ตัวหนึ่งยืนกินใบไผ่ขวางทางอยู่ตรงช่องเขานั้นพอดี และเป็นทางเดียวที่จะเดินผ่านไปได้ ถ้าไปทางอื่นต้องปีนเขาสูง ใช้เวลาเดินทางหลายวันทางนี้จึงเป็นทางลัดที่สุดที่จะไปบ้านแม่กะตำได้

หลวงปู่มั่นจึงปรึกษากับศิษย์ว่าจะทำอย่างไร พระรูปหนึ่งอาสาไปตามชาวเขาที่อยู่แถวนั้นให้มาช่วยไล่ช้างให้หลีกทางให้ชาวเขาเหล่านั้นปฏิเสธว่า "ฮึ ฮึ ขะเจ้าก็กลัวตายเหมือนกัน นิมนต์ตุ๊เจ้าไล่เองเถิด"

หลวงปู่ขาว จึงอาสาจะไปขอเจรจากับช้าง เพราะท่านเคยผจญกับช้างมาหลายครั้งแล้ว น่าจะพูดกันรู้เรื่องหลวงปู่มั่น จึงบอกว่า "เอ้อ ยังงั้นก็ลองไปดู"

ช้างกำลังกินใบไผ่และหันหลังให้พระ หลวงปู่ขาว ได้เพ่งจิตแผ่เมตตาให้ช้าง แล้วพูดกับช้างว่า

"ดูก่อนพี่ชาย พ่อมหาจำเริญ ผู้มีกำลังมหาศาล ทั้งสังขารร่างกายก็อ้วนพีดีงาม ส่วนตัวข้าพเจ้านั้นเป็นผู้มีกำลังวังชาอันเล็กน้อย ทั้งอยู่ในศีลในธรรมไม่ได้คิดมุ่งร้ายหมายขวัญต่อใครทั้งหมด ขอพี่ชายผู้มีกำลังมหาศาล จงได้หลีกทางให้พวกข้าพเจ้าผู้น้อยเดินทางไปด้วยเถิด"

ช้างหันหน้ามาทางหลวงปู่ขาว ขยับหูดังพึบพับ แล้วเดินหลบไปข้างทาง เอางาซุกไว้กับกอไผ่สงบนิ่งอยู่ ราวกับจะร้องบอกนิมนต์ว่า

"ตุ๊เจ้าไปเถิด"

หลวงปู่มั่น เห็นเช่นนั้นก็บอกพระลูกศิษย์ว่า "ไปได้ ไปได้ไปได้แล้ว"

พระทุกองค์จึงเดินเรียงแถวผ่านช้างไปได้อย่างปลอดภัย

พระอาจารย์มนู เดินรั้งท้ายสุด ปกติท่านกลัวช้างมากอยู่แล้วบังเอิญตะขอกลดของท่านเกิดไปเกี่ยวอยู่กับกิ่งไผ่ข้างทาง ท่านคิดว่าช้างมันดึงไว้ ไม่กล้าเหลียวหลังไปมอง

พระอาจารย์มนูออกแรงกระชากติดๆ กันหลายครั้ง ตะขอก็ไม่หลุด ท่านยิ่งกลัวหนัก จะร้องให้พระองค์อื่นช่วยก็กลัวจะถูกหลวงปู่มั่นตำหนิเอา เพราะพระอาจารย์ใหญ่ท่านไม่ชอบพระธุดงค์ขี้ขลาด  ท่านจะว่าเอาแรงๆ หลวงปู่บอกว่า พระอาจารย์มนูกลัวช้างถึงกับปัสสาวะราดโดยไม่รู้ตัว ท่านจึงตัดสินใจกระชากกลดเต็มที่ ตะขอหลุด ท่านถึงกับล้มคะมำไปข้างหน้า ท่านหันไปมองข้างหลังเห็นช้างใหญ่ยังยืนสงบนิ่งอยู่ที่เดิม ตะขอกลดไปเกี่ยวกับกิ่งไผ่ต่างหาก

พระอาจารย์มนู รู้สึกละอายใจตัวเอง รีบลุกขึ้นแล้วเดินตามคณะพระธุดงค์ไป ภายหลังได้เล่าให้หมู่พวกที่ร่วมเดินทางได้ฟังกันอย่างขบขันยิ่ง .... (พระบวร พุทฺธญาโน ใน ใต้จิตสำนึก)


เจดีย์พระธาตุจอมแจ้ง วัดพระธาตุจอมแจ้ง อ.แม่สรวย จ.เชียงราย องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จำพรรษา พ.ศ.  2480 (รูปโดย Admin)

วัดร้างคือที่วิเวก

          ในพรรษากาล ปี พ.ศ. 2480 องค์หลวงปู่มั่น พร้อมด้วยคณะศิษย์ ประกอบด้วย หลวงปู่ขาว หลวงปู่พรหม พระอาจารย์มหาทองสุก พระอาจารย์มนู พระอาจารย์เนียม และ พระอาจารย์คำ ได้จำพรรษายังวัดพระธาตุดอยจอมแจ้ง ซึ่งขณะนั้นยังอยู่ในสภาพวัดร้างมาเนิ่นนาน สำหรับพื้นที่นี้มีวัดร้างมากมาย แสดงถึงความศรัทธาที่มีมาแต่ครั้งอดีต แต่สำหรับองค์ท่านเองไม่ประสงค์จะเป็นภาระมาบูรณะขึ้นใหม่ แต่ท่านเห็นว่า ที่มาอยู่วัดร้างก็เพราะสำหรับคนทั่วไปจะหวั่นเกรงต่อสิ่งที่มองไม่เห็นในวัดร้าง ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามารบกวน เป็นที่เหมาะสมสำหรับการบำเพ็ญภาวนา จากบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดยหลวงพ่อวิริยังค์ ได้กล่าวถึงรายละเอียดไว้ ดังนี้

          ... ท่านเล่าว่าในเขตเชียงใหม่เชียงรายนี้มีวัดเก่าๆ ที่สร้างตามภูเขาเล็กๆ หรือท้องที่ต่าง ๆ มากทีเดียว เฉพาะที่อำเภอแม่สรวยมีวัดร้างอยู่ถึง 200 กว่าวัด อันนี้ก็แสดงถึงความเจริญทางวัฒนธรรมในอดีตของคนภาคนี้ ...

แสดงว่าก่อนนี้ทางภาคเหนือได้มีพระสงฆ์จำนวนไม่น้อยและมีความสามารถมากทีเดียวที่ได้เป็นผู้นำสร้างวัดขึ้น แต่ละวัดนี้จะขาดเสียมิได้คือพระธาตุตามภาษาพื้นเมืองนั่นคือ เจดีย์ ที่เราเรียกกันทั่วไป ...

ที่เรียกว่าพระธาตุจอมแจ้งนั้น ก็เป็นวัดเก่าวัดหนึ่งในจำนวนหลายร้อยวัดที่ท่านอาจารย์มั่น ฯ ท่านได้เลือกจำพรรษาในปี พ.ศ. 2480 นี้ แต่ท่านก็มิได้ตั้งใจจะรื้อฟื้นวัดร้างนี้เพื่อให้เป็นวัดที่เจริญขึ้นใหม่อีก เพียงแต่เห็นว่าเป็นสภาพที่สงบสงัดสมควรแก่การที่จะบำเพ็ญสมณธรรมได้ และสมควรที่ศิษย์ติดตามจะได้ใช้สถานที่เหล่านี้บำเพ็ญกัมมัฏฐานได้ดีเท่านั้น

... แต่ท่านได้ให้ความเห็นแก่ผู้เขียน ในการจำพรรษาที่วัดร้างนี้ว่า มันเป็นการดีอย่างหนึ่งคือ เป็นที่น่ากลัวแก่บุคคลผู้ยังมีกำลังใจอ่อนเพราะวัดนี้ได้ชื่อว่าต้องมีคนตายที่ต้องมาอาศัยฝังบ้าง เผาศพบ้าง โดยเฉพาะสมภารก็ต้องทำกันเอิกเกริกพิสดาร ทั้งเชื่อว่าวิญญาณเมื่อเข้าใจเอาว่าเป็นผี มันต้องอาศัยอยู่ที่วัดร้างเหล่านี้มีมากกว่าแห่งอื่น ๆ ดังนั้นจึงเกิดความหวาดเสียวที่เป็นนิสัยของคนไทย ทำให้นึกถึงว่า วัดร้างนั้นน่ากลัวมาก ...

จึงเป็นเหตุให้เป็นผลดีแก่นักปฏิบัติธรรมส่วนหนึ่ง ทำให้จิตใจของบุคคลผู้เข้ามาอยู่วัดร้าง บังเกิดความหวาดเสียวตามนิสัยแห่งความเชื่อถือ และเป็นผลทำให้เกิดความสงบเงียบในใจขึ้นได้... (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)


บริเวณบันไดทางขึ้น วัดพระธาตุจอมแจ้ง อ.แม่สรวย จ.เชียงราย องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จำพรรษา พ.ศ.  2480 (รูปโดย Admin)

 

พิจารณาอุปนิสัยผู้ที่ตั้งใจภาวนา

          ในพรรษาปี พ.ศ. 2480 นี้นับเป็นพรรษาที่ 9 ในการจาริกภาคเหนือขององค์หลวงปู่มั่น องค์ท่านได้พิจารณาว่า ถึงแม้ชาวเหนือจะมีจิตใจที่อ่อนโยน แต่ก็มีผู้ติดตามมาปฏิบัติไม่มาก และยังยึดมั่นกับความเชื่องมงายเดิมยากต่อการเปลี่ยนแปลง แต่องค์ท่านก็มีความพยายามที่จะเผยแผ่หาผู้มีวาสนาธรรมต่อไป

แต่ก็ปรากฏมีแต่ศิษย์เดิมจากภาคอีสานที่ดั้นด้นมากราบนมัสการและขอข้อแนะนำเพื่อแก้ไขการปฏิบัติ ทำให้ท่านเห็นว่า คนภาคอีสานมีอุปนิสัยเหมาะสมกับการปฏิบัติมากกว่า ซึ่งข้อพิจารณานี้น่าจะเป็นเห็นผลที่ทำให้องค์ท่านตัดสินใจที่จะเดินทางกลับภาคอีสาน เพื่อตั้งสำนักในการอบรมสั่งสอนพระภิกษุสงฆ์ ในปี พ.ศ. 2483 โดยมีรายละเอียด ตามบันทึกในประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดยหลวงพ่อวิริยังค์ ไว้ดังนี้

... ท่านได้เคยพูดกับผู้เขียนอยู่เสมอว่า

คนเมืองเหนือ ฯนี้ใจอ่อน ศรัทธาในพระพุทธศาสนาก็ดี แต่การที่จะยอมเสียสละบวชอุทิศตนต่อการปฏิบัติอย่างจริงจังนั้นมีน้อยมาก 12 ปีของการอยู่ภาคเหนือ ยังไม่เห็นใครมาบวชและปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังสักองค์เลย

ซึ่งตรงกันข้ามกับคนภาคอีสานยังมีคนมาบวชแล้วตั้งใจเด็ดเดี่ยวมีอยู่มาก จนถึงมีศรัทธาความตั้งใจอย่างแน่วแน่ของการปฏิบัติ แม้จะได้เรียนจากเรา ปฏิบัติกันอย่างจริงจังมาแล้วก็ตาม ยังได้พากันติดตามหาเราถึงจังหวัดเชียงใหม่ การมานั้นมิใช่เพื่อหวังประโยชน์อะไรอื่น นอกจากจะมาหาทางแก้ไขในเรื่องของการปฏิบัติธรรมกันทั้งนั้น คนทางตะวันออกเฉียงเหนือจึงถือได้ว่าเป็นคนที่มีความบึกบึนเป็นเยี่ยม แม้ว่าจะมีปัญญาค่อนข้างทึบอยู่เป็นส่วนมาก บรรดาผู้ที่มาฝึกฝนอยู่กับเรา ที่ติดตามมามากขึ้นทุกทีนี้เอง ทำให้คิดถึงว่าเราอาจจะต้องกลับไปทางอีสานอีก แต่ในขณะนี้ก็ใคร่จะทำประโยชน์ให้แก่คณะบ้างตามสมควร จึงพยายามหาทางปลูกนิสัยบุคคลให้เข้าใจถึงการปฏิบัติจิตใจทั่ว ๆ ไป

ทุกหนทุกแห่งตามที่ท่านเดินทางไป พร้อมทั้งบอกให้คณะศิษย์ที่มีความรู้พอสมควรเดินทางไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ เพื่อหาทางฝึกปรือชาวบ้านให้เข้าใจถึงความจริงในการปฏิบัติธรรม ตลอดถึงสรณะที่พึ่งอันสมควร ทั้งเหตุผลของพระพุทธศาสนา เพื่อที่จะได้มาแก้ความงมงายต่าง ๆ ที่พากันเชื่อผิด ๆ และการนี้ก็ได้ผล คือทำให้เกิดความเข้าใจถูกต้องขึ้นมาก เนื่องจากตามชนบทที่อยู่ห่างไกลความเจริญ ขาดผู้ที่มีความรู้ชี้แจงแนะนำ ก็จำต้องยอมเพื่อบางสิ่งบางอย่าง อันอาจจะทำให้เขาสำเร็จผลงานที่ตั้งใจไว้ อันความจริงความสำเร็จผลงานนั้นมันก็จะสำเร็จอยู่แล้ว แต่เผอิญประจวบกับที่เขาบูชาเซ่นสรวงในสิ่งที่เขาบูชาเชื่อถือพอดีก็จึงทำให้เกิดความเชื่อขึ้น ซึ่งก็เป็นการแก้ยากมาก แต่เมื่อเขาได้มารับรสพระธรรม พร้อมกับการปฏิบัติธรรม คือการบำเพ็ญจิตให้สงบ บังเกิดผลอันเป็นภายในเข้าแล้ว ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในตัวเอง ครั้นแล้วเราก็แนะนำธรรมต่าง ๆ เพิ่มเติมก็จะบังเกิดความเชื่อมั่นยิ่งขึ้น จึงทำให้เกิดผลในการเผยแพร่ธรรมได้เป็นอย่างดี

การไปทำความเพียรกัมมัฏฐานตามที่ต่าง ๆ ก็ดี การออกไปเที่ยวแนะนำสั่งสอนประชาชนตามหมู่บ้านนั้น ๆ ก็ดี ท่านจะมีเวลานัดให้ไปรวมกันเมื่อถึงเวลา คือหากได้ไปทำประโยชน์ตนและบุคคลผู้อื่นพอสมควรแล้ว ในระยะเป็นเดือนจะนัดไปประชุมกันที่แห่งใดแห่งหนึ่ง พระเถรานุเถระที่เป็นศิษย์ของท่านที่ไปทำงานนั้น ๆ มาแล้วก็จะมาเล่าความเป็นไป หรือสิ่งที่ประสบมาเพื่อการแก้ไขเหตุการณ์ต่าง ๆ ปรับปรุงการสอนให้ถูกต้อง ซึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยไม่ต้องให้เสียเวลาที่จะต้องตามไปบอกองค์นั้นองค์นี้ การดำเนินการสอนเป็นไปในแนวเดียวกันทั้งสิ้น เพราะการประชุมปรับความเข้าใจ และมีท่านเป็นประธานที่เคารพสูง มีความรู้สูง

การกระทำเช่นนั้น ท่านเล่าว่าเพื่อเป็นประโยชน์ตนและบุคคลอื่น แต่ก็พยายามที่จะแสวงหาสถานที่สงบเป็นสำคัญ เพราะในขณะที่จะฟื้นฟูการปฏิบัติธรรมให้หนาแน่นยิ่งขึ้น และการแก้ไขสิ่งที่ปฏิบัติเป็นไปเพื่อความงมงายทั้งฝ่ายฆราวาสและบรรพชิต ... (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)


หลวงปู่ขาว อนาลโย ได้จำพรรษากับองค์หลวงปู่มั่น พรรษากาลปี พ.ศ. 2480 เป็นพรรษาที่ 2 (รูปจาก ฐานข้อมูล Admin)

ให้อุบายธรรมหลวงปู่ขาวระงับไข้ด้วยภาวนา

          ... ในพรรษานี้ หลวงปู่ขาวได้ตั้งใจทำความเพียรจนเต็มความสามารถ แต่หลวงปู่มีอาการไข้อยู่ตลอดพรรษาเลยทีเดียว

          วันหนึ่งในขณะที่หลวงปู่ขาวนอนซมด้วยอาการไข้ ท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่นได้พูดเสียงดังออกมาว่า

"พิจารณาเข้าซี จะนอนให้เป็นไข้อยู่เฉยๆ อย่างนี้ได้อย่างไร ความไข้มันเป็นอริยสัจของจริง จะหลีกหนีตายให้พ้นทุกคนไม่ได้เขาเป็นอยู่ทั่วโลกนั่นแหละ

ลุกขึ้นมาเดินจงกรมให้เส้นสายมันได้เหยียดออกเสียบ้าง นอนมากเลือดลมไม่เดิน เส้นเอ็นมันขอดงอ มันหด มันจะตายซ้ำเสียอีก

ท่านบวชกับผู้ใด พระเทวทัตบวชกับพระพุทธเจ้า ไม่ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ตายไปแล้วก็ลงอเวจีท่านจะลงอเวจีเหมือนพระเทวทัตหรือ จะมาเอาแต่นอนสาธุอยู่เพราะลุกไม่ขึ้น และก็คิดแต่ว่า นี่หนอมหาเมตตากรุณา อยากได้จริงๆ"

(เรื่องนี้สาเหตุที่ไปเกี่ยวกับพระเทวทัตนั้น เพราะพระอาจารย์ใหญ่ท่านหลวงปู่มั่นเคยปรารภในคราวอยู่เชียงใหม่ว่า ท่านขาวนี่เคยเป็นลูกศิษย์พระเทวทัตมาก่อน ถูกพระเทวทัตยุยงหลงกลมารยา พระอัครสาวกได้เหาะไปนำเอากลับมา)...(พระบวร พุทฺธญาโร ใน ใต้จิตสำนึก)

07 - OneDrive - Google Chrome
พระอาจารย์มหาทองสุก สุจิตฺโต ได้มีโอกาสจำพรรษากับองค์หลวงปู่มั่น และได้บันทึกหลัก 11 ประการในการภาวนา ที่ได้รับจากองค์หลวงปู่มั่น ในพรรษาปี พ.ศ. 2480 ณ วัดพระธาตุจอมแจ้ง (รูปจาก ฐานข้อมูล Admin)

หลัก 11 ประการในความทรงจำพระอาจารย์มหาทองสุก

          ... ในปีนี้ท่านพระอาจารย์มั่นได้พาทำความเพียรเป็นกรณีพิเศษ และท่านได้อธิบายข้อปฏิบัติและปฏิปทาต่าง ๆ มากมาย เช่น

1. การปฏิบัติทางใจ ต้องถือการถ่ายถอนอุปาทานเป็นหลัก

2. การถ่ายถอนนั้น ไม่ใช่ถ่ายโดยไม่มีเหตุ ไม่ใช่ทำเลย ๆ ให้มันถ่ายถอนเอง

3. เหตุแห่งการถ่ายถอนนั้นต้องสมเหตุสมผล ท่านอ้างเอาพระอัสสชิแสดงในธรรมข้อที่ว่า

เย ธมฺมา เหตุ ปัพฺพวา เตสํ เหตุงฺ ตถาคโต

เตสญฺจะ โย นิโรโธ จะ เอวํ วาที มหาสมฺโณ

ธรรมทั้งหลายเกิดมาจากเหตุ ธรรมทั้งหลายเหล่านั้นดับไปเพราะเหตุ พระมหาสมณะ คือพระพุทธเจ้ามีปกติตรัสดังนี้

4. เพื่อให้เข้าใจว่า การถ่ายถอนอุปาทานนั้นมิใช่ไม่มีเหตุและไม่สมควรแก่เหตุ ต้องสมเหตุสมผล

5. เหตุได้แก่การสมมุติบัญญัติขึ้น แล้วหลังตามอาการนั้น เริ่มต้นด้วยการสมมติตัวของตนก่อนพอหลงตัวเราแล้วก็ไปหลงผู้อื่น หลงว่าเราสวยแล้วจึงไปหลงผู้อื่นว่าสวย เมื่อหลงตัวของตัวเองและผู้อื่นแล้ว ก็หลงพัสดุข้าวของนอกจากตัว กลับกลายเป็นราคะ โทสะ โมหะ

6. แก้เหตุ ต้องพิจารณากัมมัฏฐาน 5 คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ด้วยสามารถแห่งกำลังของสมาธิ เมื่อสมาธิขั้นต่ำ การพิจารณาก็เป็นฌานขั้นต่ำ เมื่อเป็นสมาธิขั้นสูง พิจารณาเป็นฌานชั้นสูงแต่ก็อยู่ในกัมมัฏฐาน 5

7. การสมเหตุผล หมายถึงคันที่ไหนต้องเกาที่นั้นถึงจะหายคัน คนติดกัมมัฏฐาน 5 หมายถึงหลงหนังเป็นที่สุด เรียกว่าหลงกันตรงนี้ ถ้าไม่มีหนังคงจะหนีกันแทบตาย เมื่อหลงที่นี้ก็ต้องแก้ที่นี้คือ เมื่อกำลังสมาธิพอแล้ว พิจารณาก็เห็นตามความเป็นจริง เกิดความเบื่อหน่าย เป็นวิปัสสนาญาณ

8. เป็นการเดินอริยสัจจ์ เพราะเป็นการพิจารณาตัวทุกข์ ดังที่พระองค์ทรงแสดงว่า ชาติปิทุกข์ชราปิทุกข์ พยาธิทุกข์ มรณัมปีทุกข์ ใครเกิด ใครแก่ ใครเจ็บ ใครตาย กัมมัฏฐาน 5 เป็นต้น ปฏิสนธิเกิดมาแล้ว แก่แล้ว ตายแล้ว จึงชื่อว่าพิจารณากัมมัฏฐาน เป็นทางพ้นทุกข์ เพราะพิจารณาตัวทุกข์จริง ๆ

9. ทุกขสมุทัย เหตุเกิดทุกข์ เพราะมาหลงกัมมัฏฐาน 5 ยึดมั่น จึงเป็นทุกข์ เมื่อพิจารณาเพราะเห็นตามความเป็นจริง สมกับคำว่า รูปสมิปิ นิพพินทติ เวทนายปี นิพฺพินฺทติ สญฺญายปิ นิพฺพินฺทติสงฺขาเรสปี นิพฺพินฺทติ วิญฺญาณฺสุสมิปิ นิพฺพินฺทติ เมื่อเบื่อหน่ายในรูป (กัมมัฏฐาน 5) เป็นต้นแล้ว ก็คลายความกำหนัด เมื่อเราพ้น เราก็ต้องมีฌานทราบชัดว่าเราพ้น

10. ทุกขนิโรธ ดับทุกข์ เมื่อเห็นกัมมัฏฐาน 5 เบื่อหน่าย ชื่อว่า ดับอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นเช่นเดียวกับท่านสามเณรสุมนะ ศิษย์ท่านพระอนุรุทธะ พอปลงผมหมดศีรษะ ก็ได้สำเร็จพระอรหันต์

11. ทุกขคามินีปฏิปทา ทางไปสู่ที่ดับ คือการเป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ ปัญญาเห็นชอบ เห็นอะไร?เห็นอริยสัจจ์ 4 อริยสัจจ์ 4 ได้แก่อะไร? ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค การเห็นจริงแจ้งประจักษ์ด้วยสามารถแห่งสัมมาสมาธิ ไม่หลงติดสุข มีสมาธิเป็นกำลัง พิจารณากัมมัฏฐาน 5 ก็เป็นองค์มรรค

หลัก 11 ประการนี้กว้างขวาง ท่านพระอาจารย์มั่นท่านแสดงกว้างขวางมาก ท่านอาจารย์

พระครูอุดมฯ ท่านก็บันทึกย่อ ๆ ไว้ เพื่อจะเป็นแนวทางปฏิบัติของท่าน เพราะปีนี้เป็นสำคัญทั้งศึกษา

และปฏิบัติ มิใช่ศึกษาอย่างเดียว

ปฏิปทา ท่านพระอาจารย์มั่นแนะว่า การฉันหนเดียว การฉันในบาตร การบิณฑบาต การปัดกวาดลานวัด การปฏิบัติอุปัชฌาย์อาจารย์ การอยู่ป่าวิเวก เป็นศีลวัตรอันควรแก่ผู้ฝึกฝนขั้นอุกฤษฏ์จะพึงปฏิบัติ ...(หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)

New Folder (2) - OneDrive - Google Chrome

หลวงปู่พรหม จิรปญฺโญ ได้จำพรรษากับองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ณ วัดพระธาตุจอมแจ้ง ในปี พ.ศ. 2480 เป็นพรรษาแรก องค์ท่านปรารภความเพียรในอิริยาบถ 3 ยืน เดิน และนั่ง ตลอดพรรษา (รูปจาก ฐานข้อมูล Admin)

หลวงปู่พรหมเร่งความเพียร

          ... พรรษานี้เป็นพรรษาแรกที่หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ จำพรรษากับองค์หลวงปู่มั่นเช่นกัน ในพรรษานี้ท่านได้ประกอบความเพียรมาก ถือเพียงอิริยาบถ 3 คือ ยืน เดิน และนั่ง ไม่ถืออิริยาบถนอนตลอดไตรมาสสามเดือน ส่วนมากท่านถือการเดินจงกรมเป็นกิจวัตรประจำวัน เมื่อออกพรรษาแล้ว ก็ได้เที่ยวแยกย้ายไปวิเวกในถิ่นต่างๆ โดยท่านไปทางเมืองเชียงตุง ... (หลวงปู่อ่ำ ธมฺมกาโม)


เจดีย์พระธาตุจอมแจ้ง วัดพระธาตุจอมแจ้ง อ.แม่สรวย จ.เชียงราย องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จำพรรษา พ.ศ.  2480 (รูปโดย Admin)

ออกพรรษาพระอาจารย์มหาทองสุกยังอยู่ที่เดิมได้ทำการฉลองเจดีย์พระธาตุ

... หลังจากออกพรรษาแล้ว ท่านเกิดอาการไข้มาลาเรียกำเริบขึ้นอีก จึงลาท่านพระอาจารย์มั่นไปรักษาตัวอยู่ที่จังหวัดเชียงราย

พอท่านหายดีแล้วกลับมาที่บ้านแม่เจ้าทองทิพย์ ไม่มีใครเหลืออยู่ทุก ๆ องค์ต่างองค์ต่างไปวิเวกหมด ท่านจึงมาอยู่องค์เดียว กลางคืนเสือชุม มาคอยรบกวนอยู่ตลอดเวลามาหาท่านใกล้ ๆ แต่มันก็ไม่ทำอะไร มาคอยจ้อง ๆ มองแล้วก็หายไป ครั้งแรกก็ทำให้เกิดความเสียวๆ แต่พอเคยกันเสียแล้วก็เฉย ๆ

อยู่มาเดือน 3 ปีนี้ พระครูนพรัตนบูรจารย์ก็เลยมาพาสร้างพระเจดีย์ เพราะมีเจดีย์เก่าอยู่ที่นั้น ท่านพาชาวบ้านช่วยกันก่อสร้างเพิ่มเติม กินเวลาก่อสร้างถึง 4 เดือน สำเร็จเอาเมื่อเดือน 6 สำเร็จแล้ว ชาวบ้านก็พากันฉลองกันเป็นการใหญ่

เวลาฉลองท่านอาจารย์ขาว ท่านมนู มาร่วมการฉลองโดยการทำบุญตักบาตร ผู้คนไม่ทราบว่ามาจากไหนมากมาย เพราะคนเมืองนี้ชอบและเลื่อมใสในการก่อพระเจดีย์จริง ๆ มาถึงมาทำบุญ ไม่ต้องป่าวร้อง รู้แล้วมาเอง ท่านทุกองค์ต่างองค์ผลัดกันเทศน์โปรดญาติโยม ได้ประโยชน์ดีทีเดียว ...(หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)


ประวัติย่อองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต โดย หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร จากหนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นางพุ่ม งามเอก พ.ศ. 2520 ระบุว่า ในปี พ.ศ. 2480 องค์หลวงปู่มั่น จำพรรษาที่พระธาตุจอมแจ้ง อ.แม่สรวย ซึ่งอยู่ใน จ.เชียงราย (รูปจาก คลังสารสนเทศดิจิทัล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)

ข้อสังเกตอำเภอที่ตั้งของวัดพระธาตุจอมแจ้ง

          มีข้อสังเกต 2 ประการเกี่ยวกับสถานที่ตั้งวัดพระธาตุจอมแจ้ง ที่กล่าวถึงในการตามรอยในตอนนี้ กล่าวคือ

1) ตำแหน่งอำเภอที่ตั้งในประวัติองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และใต้สามัญสำนึก โดยหลวงพ่อวิริยังค์ ปี พ.ศ. 2541 ได้ระบุว่าอยู่ใน อ.แม่สาย จ.เชียงราย แต่จากประวัติฉบับย่อ ที่ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2520 ได้ระบุว่าอยู่ใน อ.แม่สรวย และประวัติฯฉบับสมบูรณ์ที่ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2521 ได้ระบุว่าอยู่ใน อ.แม่สวย (สะกดแบบนี้) จ.เชียงราย ซึ่งอาจจะเป็น อ.แม่สรวย นั่นเอง

ประวัติลปมั่นโดยลพวิริยังค์.pdf - Adobe Acrobat Reader (64-bit)ประวัติลปมั่นโดยลพวิริยังค์.pdf - Adobe Acrobat Reader (64-bit)
ประวัติย่อองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ฉบับสมบูรณ์ โดย หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร จากหนังสืออนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ คุณย่ามั่นบุณฑีย์กุล พ.ศ.
2521 ระบุว่า ในปี พ.ศ. 2480 องค์หลวงปู่มั่น จำพรรษาที่พระธาตุจอมแจ้ง อ.แม่สวย ซึ่งคาดว่า คือ อ.แม่สรวย (รูปจาก คลังสารสนเทศดิจิทัล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)

อนึ่ง จากการเรียบเรียงของ ส.กวีวัฒน์ จากบทความวัดพระธาตุจอมแจ้ง หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เจ้าอาวาสรูปแรก ในหนังสือจารึกไว้ในล้านนาได้กล่าวว่า ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.แม่สรวย จ.เชียงราย อีกทั้งตามประวัติวัดพระธาตุดอยจอมแจ้ง ได้บันทึกให้องค์หลวงปู่มั่นเป็นเจ้าอาวาสรูปแรก คงด้วยคณะขององค์หลวงปู่มั่น ที่ได้มาจำพรรษาในปี พ.ศ. 2480 นั้นเป็นคณะสงฆ์เข้าองค์ประกอบของการปกครองวัด ที่ต่อมาจะมีพระภิกษุในฝ่ายมหานิกายได้เข้ามารับช่วงบูรณะฟื้นฟูวัดต่อมา (ส.กวีวัฒน์)


พระพุทธรูปพระเจ้าทองทิพย์ (พระประธานองค์กลาง) พระพุทธรูปเก่าแก่ ซึ่งมีตำนานมาจากล้านช้าง คาดว่าน่าจะเกี่ยวเนื่องกับบันทึกประวัติพระอาจารย์มหาทองสุก ที่เรียกสถานที่นี้ว่า บ้านแม่ทองทิพย์ (รูปโดย
Admin)

          2) ในประวัติของพระอาจารย์มหาทองสุก ได้ระบุสถานที่นี้ คือ "บ้านแม่ทองทิพย์" ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับพระพุทธรูปสำคัญของวัด คือ "พระเจ้าทองทิพย์" ที่มีตำนานว่า ได้อัญเชิญมาจากอาณาจักรล้านช้าง เพื่อจะเข้าสู่อาณาจักรเชียงใหม่ โดยล่องตามลำน้ำมา แต่เมื่อพอถึงบริเวณนี้ พระไม่อาจล่องต่อไปได้ ได้อัญเชิญขึ้นประดิษฐานยัง พระธาตุดอยจอมแจ้ง นับแต่บัดนั้น (ส.กวีวัฒน์)

          ปัจจุบันวัดร้างที่องค์หลวงปู่มั่นและคณะศิษย์มาจำพรรษานั้น เป็นวัดมั่นคงในนาม วัดพระธาตุจอมแจ้ง ซึ่งนามวัดมีตำนานว่า ...มีพระมหาเถระรูปหนึ่งได้เที่ยวจาริกเทศนาสั่งสอนประกาศพระพุทธศาสนาเดินธุดงค์ผ่านมาถึงสถานที่แห่งนี้ เป็นเวลารุ่งอรุณขึ้นวันใหม่ (มาแจ้งสว่างที่นี่) จึงได้ให้ชายสูงอายุคนหนึ่งอยู่ปฏิบัติรักษาพระธาตุ ลงไปตักน้ำในลำธารขึ้นมาให้ล้างหน้า หรือซ่วยหน้าขณะพักอาศัยอยู่ที่นี่ 7 วัน ก่อนจะเดินทางจาริกต่อไป ได้มอบสารีริกธาตุให้ชายสูงอายุเอาบรรจุไว้ในพระธาตุ และยังได้ทำนายอนาคตภายภาคหน้าว่า ชาวบ้านจะเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า "วัดพระธาตุจอมแจ้ง" ส่วนลำน้ำที่พระมหาเถระใช้ล้างหน้า ชาวบ้านเรียกว่า "แม่น้ำซ่วย" ต่อมาได้เรียกชื่อเพี้ยนไปว่า "แม่น้ำสรวย" จนถึงปัจจุบัน...(ส.กวีวัฒน์)


เจดีย์พระธาตุจอมแจ้ง วัดพระธาตุจอมแจ้ง อ.แม่สรวย จ.เชียงราย องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จำพรรษา พ.ศ. 2480 (รูปโดย Admin)

สำหรับบริเวณที่องค์หลวงปู่มั่นได้จำพรรษา คือ ใต้ต้นสารภี (ส.กวีวัฒน์) ซึ่งปัจจุบันเป็นต้นใหม่ที่เกิดจากหน่อของต้นสารภีต้นเดิมที่ล้มลงแล้ว

ปัจจุบันวัดพระธาตุดอยจอมแจ้ง เป็นหนึ่งในพระธาตุเก้าจอม ซึ่งเป็นปูชนียสถานสำคัญของจังหวัดเชียงราย

 

อ้างอิง
พระบวร พุทฺธญาโณ, ใต้จิตสำนึก หลวงปู่ขาว อนาลโย, คณะศิษยานุศิษย์วัดถ้ำกลองเพล : อุดรธานี, 2532.
พระราชธรรมเจติยาจารย์ (วิริยังค์ สิรินฺธโร), ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ (ฉบับสมบูรณ์), สถาบันพลังจิตตานุภาพ : กรุงเทพฯ, 2541.
พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (เทสก์ เทสรังสี), อัตตโนประวัติพระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์(เทสก์ เทสรังสี), ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพฯ, พ.ศ.2539.
หลวงปู่ขาว อนาลโย, โครงการหนังสือบูรพาจารย์เล่มที่ 10, รศ.ดร.ปฐม-ภัทรา นิคมานนท์ : กรุงเทพฯ, 2548.
มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, อนุสรณ์หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, โรงพิมพ์มูลนิธินวมราชานุสรณ์ :นครนายก, มปพ.
พระญาณวิริยะ, ประวัติย่อ พระอาจารย์มั่นฯ ในหนังสือที่ระลึกงานฌาปนกิจ นางพุ่ม งามเอก พ.ศ.2520.
พระครูญาณวิริยะ, ทางสู่สันติ ประวัติพระครูอุดมธรรมคุณ (ทองสุก สุจิตฺโต) พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ, 2509.

แสดงความเห็น  >>คลิ๊กที่นี่<<

< ตอนก่อนหน้า : ตอนต่อไป >