ถูกกล่าวหาเป็นเสือเย็น ให้อุบายตามหาพุทโธหาย
ดอยมูเซอ อ.แม่สรวย จ.เชียงราย (ตอนที่ 2 พ.ศ.2479)
ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ตอนที่ 40
หลวงตามหาบัว ญานสมฺปนฺโน ท่านได้บันทึกเรื่องราว องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต กับพระอาจารย์มหาทองสุก สุจิตฺโต ถูกกล่าวหาว่าเป็น เสือเย็น เมื่อชาวบ้านเริ่มคลายความไม่ไว้วางใจแล้ว ท่านได้ให้อุบายให้ชาวเขาตามหาพุทโธ ที่เรียกกันว่า ตามหาพุทโธหาย จนชาวเขาภาวนาได้ผล เป็นเรื่องราวประทับใจของการตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ในภาคเหนือ (รูปโดย Admin)
เรื่องราวที่กล่าวขวัญ จากบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดยหลวงตามหาบัว เมื่อองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จาริกไปยังดอยมูเซอ กับพระองค์หนึ่ง จากการค้นคว้าจากเทศนาธรรมของหลวงตามหาบัวพบว่า คือ พระอาจารย์มหาทองสุก สุจิตฺโต คือเรื่องที่องค์ท่านถูกกล่าวหาว่าเป็น "เสือเย็น" ท่านทั้งสองใช้ความอดทน จนชาวเขาเริ่มไว้ใจ ท่านได้ให้อุบายภาวนาด้วยวิธีการ "ตามหาพุทโธหาย" อนึ่งในตอนนี้จะได้รวบรวมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากข้อมูลอื่นๆ แม้ว่าปีการจำพรรษา อาจจะไม่ตรงกับ อัตตโนประวัติหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี แต่สถานที่ที่เกิดเรื่องราวน่าจะอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน และช่วงเวลาใกล้กัน แต่ด้วยช่วงเวลาอันนาน จนยากที่จะชี้ชัดตรงกันได้ และสุดท้ายจะเป็นการนำเสนอสถานที่ที่คาดว่าครูบาอาจารย์ได้มาจำพรรษาสั่งสอนชาวเขา ในปัจจุบัน
พระอาจารย์มหาทองสุก สุจิตฺโต ปรากฏในบันทึกประวัติหลวงปู่มั่น โดย หลวงตามหาบัว เป็นพระผู้ติดตามองค์หลวงปู่มั่น ไปยังดอยมูเซอแล้วท่านทั้งสองถูกกล่าวหาว่าเป็น "เสือเย็น" จนต้องใช้ความอดทนเพื่อคลายเข้าใจผิดของชาวเขา และได้ให้อุบายการภาวนา "ตามหาพุทโธหาย" (รูปจาก ฐานข้อมูล Admin)
พระอาจารย์มหาทองสุกตามหาองค์หลวงปู่มั่นจนพบ
ภายหลังจากพบองค์หลวงปู่มั่นที่วัดเจดีย์หลวงในช่วงปี พ.ศ. 2475 แล้ว พระอาจารย์มหาทองสุก ได้กลับไปที่วัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2476 ท่านได้เริ่มออกตามหาองค์หลวงปู่มั่นอีกครั้ง จนมาพบองค์หลวงปู่มั่นในช่วงก่อนจะเข้าพรรษาในปี พ.ศ. 2480 ที่ดูเป็นเหตุบังเอิญหรือเป็นญาณวิถีขององค์หลวงปู่มั่น โดยมีรายละเอียดการพบกัน ตามบันทึกประวัติพระอาจารย์มหาทองสุก โดย หลวงพ่อวิริยังค์ ดังนี้
... ครั้นออกพรรษาเกิดเป็นไข้มาลาเรีย รู้สึกเกิดทุกข์เวทนาท่านพยายามฝืนแล้วก็เดินทางต่อไป แต่รู้สึกอ่อนเพลียมาก จึงได้มาพักฟื้นอยู่ที่วัดบ้านโบสถ์ชั่วคราว แล้วท่านก็กลับไปทางดอยแม่กนอีก จากนั้นท่านก็ไปบ้านป่าไหน่
ณ ที่นี้เอง จุดมุ่งหมายปลายทางที่ท่านได้พยายามบุกบั่นมาจนจะเอาชีวิตไม่รอด ก็พลันสำเร็จขึ้นแก่ท่าน คือพบท่านพระอาจารย์มั่น ท่านพระอาจารย์มั่นไม่ทราบว่าท่านรู้ว่าเราอยู่บ้านนี้ได้อย่างไร จู่ ๆ เวลาเย็นประมาณบ่าย 3 โมงท่านก็มาปรากฏตัวให้เห็น ณ ที่อยู่นี้เอง
ท่านมาองค์เดียว แบกกลดสะพายบาตรมารุงรังทีเดียว
ท่านมีความรู้สึกดีใจเป็นล้นพ้นเหลือประมาณ รีบไปรับบริขารมา แล้วท่านพระอาจารย์มั่น
ก็ทักท่านเป็นประโยคแรกว่า
"มาดนแล้วบ่" แปลว่ามานานแล้วหรือ
ท่านตอบว่า 2-3 วันแล้ว
ท่านพระอาจารย์มั่นท่านบอกว่า
"เราอยู่กับพวกมูเซอบนดอยแม่กะตำ เราเดินทางมาเพื่อจะพบกับคุณ (หมายถึงอาจารย์
มหาทองสุก) ผ่านบ้านป่าแนะ เราตั้งใจจะมาแนะนำอบรมให้ในทางจิตใจ" ท่านพระอาจารย์มั่นท่าน
พูดกับท่าน
จากนั้น ท่านพระอาจารย์มั่นก็พาท่านไปที่บ้านปู่จองน้อย ตอนนี้ชาวบ้านแกงดาว (เต่ารั้ง) ทำเนื้อกวางให้ฉัน เขาหุงข้าวไม่รินน้ำดีมาก กำลังฟื้นไข้ ฉันอร่อยมาก วิธีหุงข้าวเขาแปลกดี เขาเอาข้าวมาต้มพอแตกเม็ด เขาขุดไม้เป็นราง 1 ศอก เทข้าวที่ต้มแล้วลงไป คนจนนิ่ม แล้วเอาขึ้นมานึ่งอีกที ฉันแล้วดีจริงๆ อร่อยจริงๆ .... (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
องค์หลวงปู่มั่นสอนการภาวนา
... ตอนท่านมาองค์เดียวกับท่านพระอาจารย์มั่น ท่านพระอาจารย์มั่นเริ่มสอนวิชาปฏิบัติอย่างจริงจัง ณ ที่บ้านปู่จองน้อยนี้ ทั้งพานั่งสมาธิและเดินจงกรม และสำรวจวิถีจิต และท่านก็แนะนำถึงกัมมัฏฐาน 5 มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ให้พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงด้วยสามารถแห่งสมาธิ และท่านแนะนำต่อไปว่า การพูดนั้นเป็นของง่ายนิดเดียว แต่การทำนั้นเป็นของยาก เช่น พูดว่า "ทำนา" เพียงเท่านั้นเราทำกันไม่รู้กี่ปี ไม่รู้จักแล้ว และปริยัติที่เรียนมานั้นให้เก็บไว้ให้หมดก่อน ใช้แต่การพิจารณาตามความเป็นจริงเพื่อให้เกิดความสงบอย่างจริงจัง
ท่านพระอาจารย์มั่นท่านอธิบายต่อไปว่า
สมาธิก็ดี มีคำว่า ขณิกสมาธิ-อุปาจารสมาธิ-อัปปนาสมาธิ และมีคำว่า วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา แต่ถ้าเราจะให้ใจของเราเป็นฌาน เราจะนั่งนึกว่า นี่วิตก นี่วิจาร นี่ปีติ นี่สุข นี่เอกัคคตา มันจะเป็นฌานขึ้นมาไม่ได้ จึงจำต้องละถอนสัญญาภายนอกด้วยสามารถแห่งอำนาจของสติ จึงจะเป็นสมาธิ เป็นฌาน ... (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
บ้านแม่กน ที่กล่าวถึงเป็นที่พำนักขององค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และเป็นจุดหมายประชุมกัน ปัจจุบันคือ วัดพระธาตุแม่ขุนโก๋น อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ (รูปโดย Admin)
... เมื่อท่านพระอาจารย์มั่นสอนแนวทางแห่งวิธีปฏิบัติได้ 2 วัน ท่านก็ส่งให้ไปในภูเขาลึกอยู่ห่างจากบ้านแม่กนประมาณ 10 กิโลเมตร และให้ไปแต่ผู้เดียว เพื่อให้ทำความเพียรอย่างเต็มที่ แล้วท่านพระอาจารย์มั่นท่านก็อยู่ที่บ้านแม่กนนั่นเอง การเดินทางไปภูเขาลึกนั้น เป็นห้วยลำธารเดินเลาะลัดไปเป็นทางที่ลำบากมาก แต่ก็เป็นเรื่องของความเต็มใจ ความลำบากเหล่านั้นก็เป็นสิ่งธรรมดาไป
ครั้นถึงอุโบสถต้องมารวมกันที่จุดหมาย คราวนี้ก็เอาบ้านแม่กนเป็นจุดหมายประชุมกัน การประชุมทำอุโบสถนั้น นอกจากจะทำสังฆกรรมแล้ว ท่านพระอาจารย์มั่นก็ให้โอวาทต่างๆ เท่าที่จะแนะนำอุบายสอน และไต่ถามถึงการปฏิบัติที่ผ่านมาว่า องค์ไหนเป็นอย่างไร ได้ผลอย่างไร จะต้องแก้ไขอย่างไร เป็นการทดสอบการปฏิบัติไปในตัว
อุโบสถนี้มีทั้งหมด 5 องค์ คือ ท่านพระอาจารย์ใหญ่ (มั่น), ท่านพระอาจารย์สาร, ท่านพระอาจารย์ขาว, เรา (พระครูอุดมธรรมคุณ) และท่านพระอาจารย์มนู ... (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
ภาวนาที่บ้านแม่กน
.... หลังจากลงอุโบสถนี้แล้ว ท่านพระอาจารย์มั่นก็ออกจากบ้านแม่กนนี้ไปอยู่ที่บ้านแม่งับ มีบ้านร้างอยู่ 1 หลัง คนแถวๆ นี้มีอาชีพขุดเหมือง เศรษฐีเขาเอาน้ำไปจากแม่กนและแม่งับสำหรับทำเหมือง เป็นอันว่าปีนี้ พ.ศ. 2479 ได้จำพรรษากับท่านพระอาจารย์มั่น ณ ที่นี้ด้วยกันทั้ง 5 องค์
ท่านทองดี ศิษย์หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม มีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะไปพบท่านพระอาจารย์มั่น พอติดตามมากับท่าน เห็นความทุกข์ยากลำบากในการบุกบั่นเพื่อจะไปพบท่านพระอาจารย์มั่น ทั้งๆ ที่อุตส่าห์ติดตามมาจนได้ข่าวท่านพระอาจารย์มั่นแล้ว เลยกลับใจไม่ไปหาท่านพระอาจารย์ใหญ่ แล้วก็เลยไม่ได้พบกันอีก
หลังจากจำพรรษาที่บ้านแม่กนนั้นแล้ว ออกพรรษาท่านก็ให้ไปทิศละองค์ เพื่อแสวงหาที่ทำความเพียร ต่างด้นดั้นไปตามภูเขาป่าใหญ่ อยู่แห่งละ 5 คืนบ้าง 10 คืนบ้าง เมื่อเห็นว่าที่ไหนจะสงบวิเวกดีก็อยู่นานหน่อย ถ้าเห็นว่าจะเป็นการกังวลด้วยผู้คน กลัวจะเนิ่นช้าในการทำความเพียรก็รีบเดินทางต่อไป
เมื่อต่างเดินทางไปคนละทิศละทางแล้ว ท่านไปทันพบกับท่านพระอาจารย์มั่นที่บ้านยาง บ้านแม่กะตั๋ง อันเป็นที่อยู่ของพวกมูเซอ บ้านแม่กะตั๋งนี้เป็นที่สงบวิเวกดีมาก ท่านพระอาจารย์มั่นจึงอยู่นาน และอยู่กับพวกชาวเขา สอนให้ชาวเขารู้จักพระศาสนาได้มาก มาคราวนี้พบกับ ท่านพระอาจารย์เทสก์ เทสรังสี และท่านพระอาจารย์อ่อนสี สุเมโธ จึงภาวนาทำความเพียรอยู่ที่นี้ 10 วัน
ตอนนี้ท่านพระอาจารย์มั่นท่านประสงค์จะไปอยู่แต่ผู้เดียวไม่ให้ใครยุ่ง ท่านพระอาจารย์เทสก์กับท่านพระอาจารย์อ่อนสีไปส่งท่านพระอาจารย์มั่นไปทางบ้านยาง เดินทางกันไป 2 คืน
พอมาถึงตอนนี้เสือชุมมาก ชาวบ้านไม่ยอมให้พวกเราเดินทางไปเอง พวกเขาพาพวกชาวบ้านไปส่ง ในระยะกลางดงนั้นมีแต่รอยเสือให้ขวักไขว่ไปหมด และเสือเหล่านั้นชอบกินวัวควายชาวบ้าน ตลอดถึงสุนัข ถ้าคนหลงไปคนหนึ่งสองคน ก็ต้องตกเป็นเหยื่อของมันแน่แท้ ชาวบ้านกลัวมาก จึงต้องยกพวกไปส่งพวกเราทั้งๆ ที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่ท่านก็ห้าม แต่ก็ไม่ขัดศรัทธา เขาจะไปส่งก็ดีเหมือนกัน ... (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
(รูปจาก ฐานข้อมูล Admin)
ให้เข้มแข็งยามป่วยไข้
ในยามที่พระอาจารย์มหาทองสุกติดตามองค์หลวงปู่มั่น มีบางช่วงที่พระอาจารย์มหาทองสุก ก็ประสบกับภาวะอาพาธ องค์หลวงปู่มั่นได้อบรมให้มีความเข้มแข็ง ดังที่หลวงตามหาบัว ได้เคยกล่าวถึงในเทศน์หัวข้อ "คู่ทุกข์คู่ยาก" เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาดเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พุทธศักราช 2550 มีรายละเอียดที่องค์หลวงปู่มั่นได้ให้โอวาทไว้ ดังนี้
....ทำไมถึงอ่อนแอเอานักหนา เหมือนผู้หญิง ท่านว่างี้นะท่านขู่ ไปเอาเครื่องนุ่งห่มของผู้หญิงมานุ่งสวมใส่เข้าไปเสีย แล้วถอดออกเครื่องของผู้ชาย มันเสียเกียรติผู้ชายอย่างนี้น่ะ มันอะไรอ่อนแอนัก ร้องไห้ ความหมายว่าไม่ได้การ ท่านว่านะ ท่านทำหาเหตุหาผลเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง ตอนนั้นท่านป่วย ท่าน (หลวงปู่มั่น) ไปขู่เอา เพราะนิสัยพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นนี้เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวผึงๆ นิสัยท่านอาจารย์มหาทองสุกสุภาพเรียบร้อย เรียกว่าอ่อนแอก็ได้ถ้าเทียบกับหลวงปู่มั่น
เป็นไข้อยู่ในป่าในเขาด้วยกัน ยาก็ไม่มีแต่ก่อน ท่านก็ไปขู่เอาบ้าง เป็นยังไงเจ็บไข้เพียงเท่านี้ถึงอ่อนแอเอาเหลือเกิน เหมือนผู้หญิง ถอดออกให้หมดอันนี้เอาเครื่องผู้หญิงมานุ่งมาใส่เข้าไปจะเข้ากันได้ ท่านว่างั้น เครื่องของพระนี้เข้ากันไม่ได้กับความอ่อนแอ ว่างั้นทดลองดู พอท่านว่าอย่างนั้นร้องไห้เลย ขนานนี้ไม่ได้การ เอาขนานใหม่นิ่มนวลที่นี่ ท่านใช้อย่างนั้นนะ ก็ท่านไม่มีกิเลส ถึงจะใช้กิริยาอาการใดจิตท่านไม่ได้เป็นอย่างนั้น เป็นการทดสอบทดลองดูเฉยๆ ตกลงก็เลยใช้แบบนิ่มนวลแบบผู้หญิงไปเลย ไม่ต้องสวมใส่ก็ได้เครื่องผู้หญิง มันใส่ไปในตัวเลยว่างั้นเถอะ นี่ละคู่ทุกข์คู่ยากกัน... (หลวงตามหาบัว ญานสมฺปนฺโน อ่านฉบับเต็มได้จากลิ้งก์นี้ https://luangta.com/thamma-luangta/result/detail?id=4583)
พบนาคราช
เรื่องราวที่ปรากฏในรำลึกวันวาน โดย หลวงตาทองคำ กล่าวถึงองค์หลวงปู่มั่น อยู่กับพระอาจารย์มหาทองสุกประสบอุทกภัยได้รับความลำบาก ซึ่งพระอาจารย์มหาทองสุกได้ถวายความปลอดภัยองค์หลวงปู่มั่นเต็มที่ทุกข์ยากร่วมกัน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
... เมื่อครั้งอยู่ที่เชียงใหม่ ท่านพระอาจารย์จำพรรษาอยู่บนเขากับพวกมูเซอ มีพระมหาทองสุกอยู่เป็นเพื่อน ใกล้ที่พักเป็นลำธาร มีน้ำไหลตลอดปี อาศัยน้ำที่นั้นใช้อุปโภคและบริโภค มีนาคราชตนหนึ่ง ชื่อว่า สุวรรณนาคราช อาศัยอยู่ที่ลำธารนั้น พร้อมด้วยบริวาร นาคราชตนนี้เคยเป็นน้องชายท่านพระอาจารย์มั่นมาหลายภพหลายชาติ ด้วยความสับสนแห่งภพจึงมาเกิดเป็นนาคราช เขารักเคารพและให้การอารักขาเป็นอย่างดี เวลาเดินจงกรมจะมาอารักขาตลอด จนกว่าจะเลิกเดิน
หลายวันต่อมา นาคนั้นหายไป เกิดฝนไม่ตกร้อนอบอ้าว ข้าวไร่เริ่มขาดน้ำไม่งอกงาม เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นประมาณ 15-16 วัน จึงได้เห็นหน้านาคนั้น
ท่านพระอาจารย์ถามว่า "หายไปไหน"
นาคราชตอบ "ไปขัดตาทัพอยู่ปากทาง (ลำธาร) ลงสู่แม่น้ำปิง"
ท่านพระอาจารย์ "ทำไม"
นาคราช "มีนาคอันธพาลตนหนึ่งอาศัยอยู่แถวนั้นจะเข้ามา เลยไม่มีโอกาสแต่งฝน มัวแต่ไปขัดตาทัพอยู่"
ท่านพระอาจารย์ "ให้เขาเข้ามาเป็นไร เพราะเป็นนาคเหมือนกัน"
นาคราช "ไม่ได้ เข้ามาแล้วมารังแกข่มเหงเบียดเบียนบริวาร"
ท่านพระอาจารย์ "เป็นไปได้หรือ"
นาคราช "ก็เหมือนมนุษย์และสัตว์ทั่วๆ ไปนั่นแหละ พวกอันธพาลก็มักจะล้ำแดนของกันและกัน เราต้องต่อสู้ป้องกันตัว"
ท่านฯ จึงรู้ว่า อันนี้เป็นลักษณะของสัตว์ ผู้มีอวิชชาเป็นตัวเหตุ โลกจึงวุ่นวาย
ช่วงเย็นฝนตกอย่างหนักจนถึงสว่าง น้ำในลำธารเต็มไปหมด ข้ามไปบิณฑบาตไม่ได้ พระมหาทองสุกคิดได้ จึงเอาไม้ไผ่มาปักเรียงกัน เอาเถาวัลย์ที่ชาวบ้านนำมาทำกุฏิมาผูกกับต้นไม้ฝั่งนี้ จับปลายข้างหนึ่ง ลอยตัวข้ามน้ำไปผูกไว้กับอีกต้นฝั่งโน้น แล้วกลับมานำบริขารของท่านพระอาจารย์และตนเองข้ามไปฝั่งโน้น แล้วกลับมาพาท่านพระอาจารย์ประคองไปตามราวไม้ไผ่ ข้ามฝั่งทั้งขาไปและขากลับ แปลกแต่จริง ขาไปผูกเถาวัลย์ ท่านมหาจับไปตามราว และขากลับลอยคอไป พอตอนนำท่านพระอาจารย์ไปและกลับ ปรากฏว่าเหมือนเดินเหยียบไปบนแผ่นหิน มีน้ำประมาณแค่เข่าเท่านั้น
ท่านมหาทองสุกเล่าว่า "เราไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแต่ความปลอดภัยเท่านั้น"
ตกตอนเย็น เมื่อเห็นนาคราชมาอารักขา ท่านอาจารย์ถามว่า "ทำไมให้ฝนตกมากนัก"
นาคราชว่า "ห้ามเขาไม่ฟัง เพราะละเลยมานาน"
ท่านอาจารย์ว่า "ทำให้เราลำบาก"
นาคราช "ท่านก็เดินบนหลังข้าพเจ้าไปสบายอยู่นี่"
ท่านฯ ก็บอกว่า "เราก็ไม่ว่าพวกท่านดอก บ่นไปเฉยๆ อย่างนั้นล่ะ"
พระอาจารย์มหาทองสุก สุจิตฺโต ปรากฏในบันทึกประวัติหลวงปู่มั่น โดย หลวงตามหาบัว เป็นพระผู้ติดตามองค์หลวงปู่มั่น ไปยังดอยมูเซอแล้วท่านทั้งสองถูกกล่าวหาว่าเป็น "เสือเย็น" จนต้องใช้ความอดทนเพื่อคลายเข้าใจผิดของชาวเขา และได้ให้อุบายการภาวนา "ตามหาพุทโธหาย" (รูปจาก ฐานข้อมูล Admin)
ให้อุบายชาวเขาตามหาพุทโธ
เป็นเรื่องราวที่มีรายละเอียด ตามบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดย หลวงตามหาบัวที่กล่าวกันว่าเกิดขึ้นบริเวณดอยมูเซอ องค์หลวงปู่มั่นได้อดทนต่อความไม่เข้าใจของชาวเขา ที่คิดว่าท่านเป็น "เสือเย็น" ท่านเกรงว่าชาวเขาเหล่านั้นจะเป็นบาปเป็นกรรม จึงได้พยายามอดทนให้ชาวเขาคลายความคิดนั้น จนมีชาวบ้านบางคนเริ่มจะไว้ใจ ได้ถามท่านว่าที่ท่านนั่งสมาธิเดินจงกรมภาวนานี้กำลังทำอะไร ท่านได้บอกว่ากำลังหาพุทโธ โดยให้ชาวเขานั้นได้ตามหาพุทโธด้วย ซึ่งเป็นอุบายในการภาวนา จนชาวบ้านผู้นั้นเห็นผล ได้แพร่กระจายไปยังชาวบ้านคนอื่นๆ จนคลายความคิดร้ายนั้นทั้งหมด
ในภายหลังหลวงตามหาบัว ได้กล่าวไว้ในเทศน์หัวข้อ "คู่ทุกข์คู่ยาก" เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาดเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พุทธศักราช 2550 ได้กล่าวว่าพระที่ติดตามหลวงปู่มั่นไปในคราวนั้น คือ พระมหาทองสุก สุจิตฺโต มีรายละเอียด ดังนี้
... ท่านบอกท่านอาจารย์มหาทองสุก อย่างนั้นละเวลาท่านใช้ในป่าในเขาท่านออกใช้หมด เขาคิดยังไงพูดยังไงรู้หมดเลย บอกท่านอาจารย์มหาทองสุก นี่เขาว่าอย่างนั้นๆ นะ แต่เราอย่าสนใจ เขาว่าเสือเย็นมาอยู่กับเขา ให้ระวังกัน เวลาตายแล้วพวกนี้จะเป็นสัตว์เป็นเสือตกนรกกันไปหมด ถ้าเราไปเสียตอนนี้เขาจะเป็นบาปเป็นกรรมมาก เราต้องทนอยู่ ต้องทนจริงๆ อยู่ยังไงก็อยู่อย่างนั้น
เขาจัดคนมาดูเสือเย็นสองตัวนี้ พวกเราไปดูซิ ดูหลายวันต่อหลายวันเข้าไม่เห็นมีอะไร ท่านไม่สนใจอะไรละ ท่านเดินจงกรมท่านก็เดินของท่านในป่า หลายวันเข้าไปเขาไปดู ก็มีผู้ใหญ่บ้านของเขาถาม เป็นยังไงไปดูเสือเย็นสองตัวนั่น คนที่ไปดูมันคงจะโมโห มันก็พูดด้วยความโมโห จะเป็นอะไร ขึ้นเลยนะ ท่านก็อยู่ของท่าน ไม่เห็นเป็นเสือเย็นอะไร ดีไม่ดีตกนรกนะพวกเรา เขาก็รู้นรกเหมือนกัน ไปดูท่านก็ธรรมดา เฉยๆ ท่านไม่สนใจกับใคร ถ้าเสือเย็นมันต้องมีกิริยาอะไรให้รู้ นี้ไม่มีเลย ดีไม่ดีพวกเราตกนรกนะ อยากจะทราบเหตุผลก็ไปถามท่านดูซิ ท่านนั่งหลับตาไม่สนใจกับใคร ท่านเดินไปเดินมาทำอะไรไปถามดูซิ
ก็จอมโง่มาถามจอมปราชญ์ นั่นละที่ว่ามาถาม ตุ๊เจ้าทำอย่างนั้นทำอะไรๆ ท่านก็บอกว่าพุทโธหาย หาพุทโธ ท่านเอาอย่างนั้นนะจอมปราชญ์ พุทโธเป็นยังไงๆ เป็นดวงสว่าง ใครเห็นพุทโธแล้วจะสว่างจ้าในใจ ท่านว่างั้น พวกเราหาพุทโธด้วยได้ไหม ได้ ยิ่งดี หาพุทโธๆ อยู่ในนี้นะ พอดีตุ๊เจ้าที่หัวหน้าไปทำมันก็เป็นจริงๆ จิตสว่างจ้า กำหนดออกมาดูท่าน ที่ว่าท่านเป็นเสือเย็น โหย ประกาศป้างเลย ไม่ได้นะพวกเรา
พอไปฟังท่านแล้วท่านมาเล่าให้ฟัง มาภาวนามันเป็นจริงๆ ไปเห็นใจท่านเข้า ใจท่านสว่างจ้าครอบโลกธาตุ เสือเย็นอะไรเป็นอย่างนั้น พวกเรานี้ตกนรกนะ ไม่ได้นะ เขายังรู้จักมาขอโทษ เขายังรู้ ต้องไปขอโทษท่านนะ พวกเราผิด ไม่งั้นตายจมไปหมดนะ ก็เลยมาขอโทษขออภัย เขาว่าจิตของเขารวมแล้วเขามองดูจิตหลวงปู่มั่นนี้ สว่างจ้าครอบโลกธาตุ มันเสือเย็นอะไรอย่างนั้น นั่นละจึงได้ลงกันทั้งบ้าน
นี่เราพูดถึงเรื่องความรู้มันออกไปรู้ มันรู้จนกระทั่งสัตว์มากินผลหมากรากไม้ที่เขาปลูกในสวน มากินมันก็เห็นตัวสัตว์ มันเห็นขนาดนั้น แล้วลงทั้งบ้านเลย นี่ละพูดถึงว่าท่านไม่ถืออะไรกับเขา เขาว่าท่านเป็นเสือเย็น เขาจะตกนรกต้องอยู่อนุเคราะห์เขา ให้เขาลงใจเสียก่อนแล้วไปไหนค่อยไป ท่านบอกว่าพุทโธหาย ให้เขาหาพุทโธ หาอยู่ในใจ นั่งก็ได้นอนก็ได้ทำอะไรก็ได้ ให้นึกพุทโธๆ อยู่ในใจนี้ หาพุทโธหาที่นี่แล้วจะเจอที่นี่ พอดีหัวหน้ามันเจอจริงๆ เจอมันสว่างจ้า
ทีนี้ส่งจิตไปหาหลวงปู่มั่น โอ๋ย สว่างครอบโลกธาตุ มันเสือเย็นยังไง เป็นอย่างนั้นละ ลงทั้งบ้านเลย เสือเย็นอะไรเป็นอย่างนั้น คือเขามาถามพุทโธหาย ท่านเลยสอนพุทโธให้เขาไปหาพุทโธ หาอย่างนี้ เขาเป็นพุทโธแล้วมันก็จ้า เลยไปเห็นจิตของหลวงปู่มั่นสว่างกระจ่างแจ้ง ยอมกันทั้งบ้านเลย นี่ละเป็นอย่างนั้น นี่ ภพฺพาภพฺเพ วิโลกานํ เล็งญาณดูสัตว์โลก ใครมีอุปนิสัยใจคอยังไง คือจิตแต่ละดวงไม่เหมือนกัน คือจิตนั่นละไม่เหมือน ส่วนทางภายนอกแต่งเนื้อแต่งตัวจะแต่งหรูหราฟู่ฟ่าแข่งเทวดาก็แข่งได้ แต่จิตใจเป็นยังไงมันอยู่ที่จิต ท่านเล็งญาณดูจิต ใครมีอุปนิสัยยังไงท่านจะโปรด ดังพระพุทธเจ้าสอน ภพฺพาภพฺเพ วิโลกานํ ทรงเล็งญาณดูสัตว์โลก.... (หลวงตามหาบัว ญานสมฺปนฺโน อ่านฉบับเต็มได้จากลิ้งก์นี้ https://luangta.com/thamma-luangta/result/detail?id=4583)
ขุนเขาสลับซับซ้อนบริเวณ บ้านห้วยน้ำขุ่น อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ในอดีตคือป่าหนาทึบ อุดมสมบูรณ์ ที่องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต และคณะศิษย์ ได้เคยจาริกมาภาวนาและโปรดชาวเขา ถ่ายเมื่อปี พ.ศ.2555 (รูปโดย Admin)
มหาทองสุกเป็นคู่ทุกข์คู่ยากกัน
จากความลำบากที่ทั้งองค์หลวงปู่มั่นและพระอาจารย์มหาทองสุกได้รับร่วมกัน จากบันทึกที่ปรากฏทั้งที่ดอยมูเซอที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเสือเย็น และประสบกับอุทกภัยฝนตกหนัก ทำให้องค์หลวงปู่มั่นกล่าว เป็นคู่ทุกข์คู่ยากกัน จากบันทึกประวัติพระอาจารย์มหาทองสุก กล่าวไว้ดังนี้
... จากการที่ท่านพระครูอุดมธรรมคุณได้ออกธุดงค์ติดตามท่านพระอาจารย์มั่นไปทางภาคเหนือ ทั้งจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย จนถึงประเทศพม่านั้น ก็เพื่อศึกษาฝึกฝนอบรมธรรมปฏิบัติ
ครั้งหนึ่งท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถระ ได้เล่าให้ฟังว่า ไปธุดงค์กับท่านพระครูอุดมธรรมคุณ พักอยู่กลางป่าบนดอยจังหวัดเชียงใหม่ ไฟได้ไหม้ล้อมเข้ามาทุกทิศ ท่านพระครูอุดมธรรมคุณได้หอบเอาบริขารของท่านพระอาจารย์มั่นมัดไว้กับตัว แล้วถือคันไม้กวาดตีไฟ กวาดใบไม้จนไฟสงบได้
ท่านพระอาจารย์มั่น ยังพูดเสมอว่า "มหาทองสุกเป็นคู่ทุกข์คู่ยากกัน" ... (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
เรื่องราวดอยมูเซอที่ปรากฏในรำลึกวันวาน
เรื่องราวดอยมูเซอ ที่ปรากฏในหนังสือ "รำลึกวันวาน" ประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดย หลวงตาทองคำ จารุวณฺโณ ได้บันทึกไว้จำนวน4เรื่องประกอบด้วย (1) เหตุการณ์ครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 (2) ผลของปาณาติบาต (3) ศาสนาภายนอกและภายใน (4) เทวดาป้องกันอากาศหนาวให้ ดังนี้
หลวงตาทองคำ จารุวณฺโณ ในอดีตเมื่อคราวอุปสมบทครั้งแรก คือ พระอาจารย์ทองคำ ญาโณภาโส เป็นพระผู้อุปัฏฐากองค์หลวงปู่มั่น ในยุคสุดท้ายที่ จ.สกลนคร ภายหลังสิกขา ได้กลับมาบวชอีกครั้ง เมื่อปี พ.ศ.2536 หลวงตาทองคำเป็นผู้ที่มีความจำแม่นยำ ได้เขียนบันทึกนี้ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2541 ขณะอายุ 75 ปี ได้นำมาจัดพิมพ์ในชื่อ "รำลึกวันวาน" เป็นเรื่องราวองค์หลวงปู่มั่นในอีกแง่มุมหนึ่ง (รูปจาก ฐานข้อมูล Admin)
(1) เหตุการณ์ครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2
ท่านพระอาจารย์เล่าว่า ครานั้นท่านพักอยู่ดอยอะไรจำไม่ได้ แต่เป็นชาวลีซอ ท่านมิได้สนใจเรื่องภายนอก มีแต่พิจารณาธรรมภายใน เช้าวันหนึ่งไปบิณฑบาต สังเกตเห็นชาวบ้านจับกลุ่มสนทนากัน มีท่าทางตื่นเต้น ฟังไม่ค่อยรู้ภาษา จำได้แต่ว่า ยาปาน ยาปาน พอกลับถึงวัด ท่านเลยถามเป็นภาษาคำเมืองว่า "เขาพูดอะไรกัน"
ได้ความว่า ทหารยาปาน (ญี่ปุ่น) บุกขึ้นประเทศไทย ที่เมืองสงขลา การรบได้เป็นไปอย่างหนักหน่วง มีแม่ค้าขายของเป็นประจำในตอนเช้าเข้าร่วมรบด้วย มีหัวหน้าชื่อนางสาวกอบกุล พร้อมนักรบแม่ลูกอ่อน มีทั้งแม่ลูกหนึ่งลูกสอง
ท่านได้ฟังแล้วก็ยิ้มกับชาวบ้าน ถามว่า "นักรบแม่ลูกอ่อนก็มีด้วยหรือ"
ต่อมาได้มีคำสั่งจากรัฐบาลถึงกองทัพ ให้ทหารไทยหยุดยิง โดยอ้างว่าญี่ปุ่นไม่ต้องการรบกับไทย ขอผ่านเฉยๆ แต่ทหารไทยประจำแนวหน้า พร้อมนักรบแม่ลูกอ่อนก็ไม่หยุดยิง ไม่ถอย ทหารญี่ปุ่นขึ้นบกไม่ได้ ตายเขียวไปทั้งทะเล ว่าอย่างนั้น จนรัฐบาลต้องส่งกองทหารอื่นเข้าไป สั่งให้ทหารญี่ปุ่นหยุดยิง ขอสับเปลี่ยนกองทหาร ทัพแนวหน้าและนักรบแม่ลูกอ่อน จึงได้หยุดยิงถอยเข้ากรมกอง ฝ่ายกองทัพญี่ปุ่นจึงขึ้นบกได้
ท่านก็ไม่ได้ถือเอาเป็นอารมณ์ คิดว่าเป็นกรรมของสัตว์ เจริญสมณธรรมตามปกติ วันรุ่งขึ้นพอจวนจะสว่าง ท่านวิตกขึ้นว่า "ชะตากรรมประเทศไทยจะเป็นอย่างไรกันหนอ"
ปรากฏนิมิตว่า
"ประเทศไทยคล้ายภูเขาสูง บนยอดมีธงไทย 3 สี ปลิวสะบัดอยู่ และมีพระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่เหนือธงไทย มองดูตีนเขาลูกนั้น มีธงชาติต่างๆ ปักล้อมรอบเป็นแถวๆ "
ท่านพิจารณาได้ความว่า
"ประเทศไทยไม่เป็นอะไรมาก นอกจากผู้มีกรรมเท่านั้น และต่อไปนานาประเทศจะยอมรับนับถือ เพราะประเทศไทย พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้เบียดเบียน รังแกข่มเหงเพื่อนมนุษย์และสัตว์ และประเทศไทยก็ไม่เคยข่มเหงประเทศใด นอกจากป้องกันตัวเท่านั้น ชาติต่างๆ จึงยอมรับนับถือเป็นกัลยาณมิตร"
อีกคราวหนึ่ง ท่านพักที่ดอยมูเซอ วันหนึ่งพระสยามเทวาธิราชพร้อมเทพบริวารได้พากันมากราบนมัสการ ท่านกำลังเดินจงกรมอยู่ พอรายงานตัวเสร็จ ท่านถามวัตถุประสงค์
พระสยามเทวาธิราชตอบว่า "เวลานี้ฝ่ายสัมพันธมิตรได้มาทิ้งระเบิดที่กรุงเทพฯ อย่างหนักหน่วง พวกข้าพเจ้าป้องกันเต็มที่"
หลวงปู่มั่น ถามว่า "มีคนบาดเจ็บล้มตายไหม"
พระสยามเทวาธิราช ตอบว่า"มี"
หลวงปู่มั่น ถามว่า"ทำไมไม่ช่วย"
ตอบว่า "ช่วยไม่ได้ เพราะเขามีกรรมเวรกับฝ่ายข้าศึก จะช่วยได้แต่ผู้ไม่มีกรรม สถานที่สำคัญ และพระพุทธศาสนาเท่านั้น"
หลวงปู่มั่น ถามว่า "มานี้ประสงค์อะไร"
ตอบว่า "ขอให้ท่านบอกคาถาปัดเป่าลูกระเบิดไม่ให้ตกถูกที่สำคัญด้วย"
หลวงปู่มั่นจึงกำหนดพิจารณาหน่อยหนึ่งได้ความว่า
"นโม วิมุตฺตานํ นโม วิมุตฺติยา"
เมื่อบอกแล้ว เทพคณะนั้นก็อนุโมทนาสาธุการ แล้วลากลับไป
(นโม วิมุตฺตานํ นโม วิมุตฺติยา คือ ส่วนหนึ่งของคาถายูงทอง หรือ โมรปริตร นั่นเอง คำนี้หลวงปู่มั่นใช้เขียนเป็นบนผ้าเป็นคล้ายผ้ายันต์มอบให้แก่โยมบางคน ปรากฏผลเป็นที่น่าอัศจรรย์หลายประการ – ภิเนษกรมณ์ ผู้รวบรวมข้อมูล)
ปูนปั้นจำลอง ขุมนรกกระทะทองแดง บริเวณทางขึ้นสู่ถ้ำไผ่ขวาง วัดทุ่งสิงห์โต อ.เมือง จ.ลพบุรี (รูปจาก โครงการท่องเที่ยวโดยชุมชนตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต)
(2) ผลของปาณาติบาต
เรื่องนี้ผู้เล่าและท่านอาจารย์วัน ได้ฟังด้วยกันที่วัดป่าบ้านหนองผือ แต่เหตุเกิดที่เชียงใหม่ เหตุมาจากการเข่นฆ่ากัน เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 บางท่านคงได้ยินว่า ศิษย์ของท่านติดตามหาท่านไม่พบ ท่านหนีเข้าป่าลึกจนศิษย์ตามไม่ถึง
ท่านว่า ได้ยินข่าวภายนอกน้อยมาก เพราะไม่มีคนไปถึง คงพิจารณาธรรมตามปกติ
วันหนึ่งขณะทำสมาธิอยู่ จวนจะสว่าง ปรากฏว่าท่านยืนอยู่บนที่สูง จะเป็นบนดิน บนภูเขา อากาศก็ไม่ใช่ คล้ายยืนอยู่บนก้อนเมฆ มองดูรอบทิศ เห็นเตาไฟมีหม้อใบใหญ่ไฟแดงฉาน ทั้งเตาทั้งหม้อใบใหญ่บรรจุวัตถุได้มาก หากเป็นมนุษย์ก็เป็นร้อยๆ คน แต่ละลูกแดงฉานทั้งเตาทั้งหม้อ แต่มีเปลวไฟบ้าง ไม่ถึงกับบังวัตถุที่อยู่ในหม้อนั้น
ท่านกำหนดพิจารณา จึงรู้ขึ้นมาว่า นี้คือทหารที่ตายในสงคราม พากันมาตกนรกแออัดกันอยู่อย่างนี้ พิจารณาดูแต่ละหม้อ ไม่ได้เลือกชาติว่าชาตินั้นต้องตกหม้อนั้น ชาตินี้ต้องตกหม้อนี้ ตกรวมกันหมด แต่ละหม้อแออัดก็จริง ดูเหมือนเต็มแล้ว แต่พวกที่ทยอยกันมาก็ยังตกได้อีก ถมเท่าไหร่ไม่รู้จักเต็ม ท่านว่า
ท่านพิจารณาต่อไปว่า "เขาเหล่านั้นรู้สึกตัวไหม"
"รู้สึกทุกคน"
ต่างก็ปรับทุกข์กันว่า "พวกเราไม่น่าเลย เป็นเพราะนายแท้ๆ "
"แล้วนายเล่า"
"นายยังไม่ตาย ถ้าตายละก็นายจะลงไปลึกกว่านี้ ชนิดพวกเราตามไม่ติด"
พวกสัตว์นรกเขาพูดกันเหมือนพูดเล่น ท่านว่า ลักษณะทหารแต่ละคนไม่มีอาวุธ มีแต่เครื่องแบบ แต่ละเอียดมาก ขนาดกระทะนรกที่เรามองเห็น เต็มแล้วลงได้อีก ชนิดถมเท่าไรไม่รู้จักเต็ม
พอท่านเห็นเหตุดังนั้น จึงมาพิจารณาตามหลักแห่งสังสารวัฏ หรือทุกข์ในวัฏฏะ ได้ความว่า
สัตว์หนาด้วยราคะ โลกฉิบหายด้วยไฟ
สัตว์หนาด้วยโทสะ โลกฉิบหายด้วยลม
สัตว์หนาด้วยโมหะ โลกฉิบหายด้วยน้ำ
ท่านมาเฉลียวใจว่า"สัตว์หนาด้วยราคะ โทสะ โมหะ แล้ว ทำไมผู้ฉิบหายจึงเป็นโลก ทำไมจึงไม่เป็นสัตว์ฉิบหายเล่า"
ท่านอธิบายย่อๆ ว่า" ราคะ โทสะ และโมหะ นั้น เป็นผลของอวิชชา ที่กล่าวไว้ในธรรมจักร (สมุทัยสัจจะ) ว่า กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ก็คือ ราคะ โทสะ โมหะ อันเป็นผลมาจากอวิชชานั้นเอง"
"ตัวเหตุคืออวิชชา ครอบงำจิตสันดานของสัตว์ เป็นผลให้สัตว์เกิดราคะ โทสะ โมหะ ทั้งสัตว์ทั้งโลกก็ฉิบหาย คือกระทบกระเทือนไปหมด ทั้งภายนอก คือ สัตว์และโลกทั้งปวง ทั้งภายใน คือ จิตสันดานของสัตว์แสดงออกมา มีแต่ฉิบหายกับฉิบหายอย่างเดียว"
(3) ศาสนาภายนอกและภายใน
ท่านพระอาจารย์สอนว่า อิริยาบถทั้ง 4 คือ ยืน เดิน นั่ง นอน นั้นนะสร้างบุญขึ้นมาได้ เช่น เราเดินไปก็ระลึกพุทโธไป เรานั่งอยู่ก็ระลึกพุทโธ เรานอนอยู่ก็ระลึกพุทโธ พยายามทำให้มันติดต่อ ทำการทำงานก็ระลึกพุทโธอยู่ อย่างท่านฯ ไปสอนชาวบ้านนอกนะ ถึงฤดูทำไร่ เขาไปดายหญ้า สับจอบสับเสียมลงดิน ก็ให้ระลึกพุทโธ เวลาเกี่ยวข้าวก็เหมือนกันแหละ เกี่ยวกอหนึ่งก็พุทโธ เกี่ยวกอสองก็พุทโธ หมายความว่า งานที่เราทำก็ได้ บุญเราก็ได้ อันนี้เป็นลักษณะของบุคคลผู้มีปัญญา ทำการงานทุกอย่าง อย่าทิ้งพุทโธ เพราะเหตุไร เพราะว่าบุญเกิดทางใจ
บุญนั้นไม่ได้เกิดแต่การบริจาคทานอย่างเดียว บุญเกิดจากการรักษาศีล บุญเกิดจากการภาวนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเจริญภาวนา เป็นบุญที่สามารถทำได้ไม่เลือกบุคคล ไม่ว่าจะเป็นคนแก่คนเฒ่าหรือเด็ก หญิงหรือชาย หรือคนเจ็บป่วยก็ตาม สามารถทำได้
คนที่มีสติปัญญา ยืน เดิน นั่ง นอน ก็เป็นบุญแล้ว ทำการทำงานก็เป็นบุญ ทุกสาขาอาชีพที่เป็นอาชีพบริสุทธิ์ ถ้าเราระลึกพุทโธคราวใด บุญก็เกิดขึ้นคราวนั้น ไม่ต้องหาไกล คนมีปัญญาไม่ต้องหาไกล หาอยู่ในกาย หาอยู่ในวาจา หาอยู่ในจิต
ศาสนานั้นอยู่ในธาตุ 4 ขันธ์ 5 อายตนะ 6 ท่านฯ บอกว่า มีกล่าวไว้ในคัมภีร์วินัย ขันธปัญญธาตุ อายตนะอยู่ที่ไหน ไม่ใช่อยู่ในตัวเราหรอกหรือ เพราะเหตุนั้นศาสนาจึงอยู่ในตัวเรา สมบูรณ์แบบไม่บกพร่อง นอกจากเราจะเสริมสร้างให้มัน เพื่อให้เรารู้จักศาสนาในตัวของเรา นี่คือบุคคลผู้ที่เป็นพุทธแท้ ท่านบอกอย่างนั้น
ศาสนายังแบ่งออกเป็นศาสนาภายนอกและศาสนาภายใน ศาสนาภายนอก คือ พระสงฆ์ สามเณร วัด กุฎี วิหาร ศาลาการเปรียญ เจดีย์ เป็นต้น ส่วนศาสนาภายใน คือ ศีล สมาธิ ปัญญา มันมีอยู่แล้ว ตั้งอยู่ในบุคคล แต่บุคคลไม่รู้ว่า อะไรคือศาสนาภายนอก ภายใน การบำรุงพระพุทธศาสนาเราจะต้องบำรุงไปพร้อมกัน ภายนอกก็บำรุง ภายในก็บำรุง ถ้าเราจะบำรุงแต่ภายนอก ทิ้งภายในเสีย เราก็ไม่รู้จักศาสนาอยู่ในตัวเราเอง
อุปมาเปรียบเหมือน ทุกคนมีสองขา ขาหนึ่งมัดติดไว้เสียไม่ใช้ หมายความว่า เราเดินได้ แต่ไม่สะดวก นั่นคือรักษาแต่ศาสนาภายนอก ศาสนาภายในไม่รักษา
เหมือนกันกับรักษาศาสนาภายใน ภายนอกไม่รักษา ก็เปรียบเหมือนมีสองขา แต่ใช้ขาเดียว
เพราะฉะนั้นการบำรุงศาสนา จึงต้องบำรุงไปพร้อมกัน ทั้งศาสนาภายนอกและศาสนาภายใน ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา ส่วนมากจะไม่เข้าใจอย่างนี้ ท่านจึงว่า ทำอะไรให้มีสติปัญญา
(4) เทวดาป้องกันอากาศหนาวให้
ท่านฯ เล่าว่า ปีนั้นท่านพักอยู่บนดอยมูเซอ พร้อมด้วยพระมหาทองสุก อากาศหนาวมากเป็นพิเศษกว่าทุกปี หากมีเครื่องวัดก็คงจะติดลบหลายองศา ขนาดชาวบ้านไม่ยอมหนีจากกองไฟตลอดวันตลอดคืน ทั้งสองท่านก็รู้สึกหนาวมาก ติดไฟก็ไม่ค่อยจะติด น้ำค้างแข็งเป็นน้ำแข็งหมด เอาละตัดสินใจจะหนาวตายวันนี้ก็ยอม กลับขึ้นไปกุฏิ ท่านฯ ไหว้พระสวดมนต์เสร็จเข้าสมาธิทันที พอจิตสงบ ท่านเห็นบุคคลหนึ่งพร้อมบริวาร 4 คน ผู้เป็นหัวหน้าแต่งตัวแบบกษัตริย์ ทรงผ้าสีแดง มาชี้บอกให้บริวารกางผ้าม่านให้ท่านทั้ง 4 ทิศ ทั้งข้างบนข้างล่าง
จึงกำหนดพิจารณาว่าเป็นใครนั่น แต่ไม่ได้ถามพระยาองค์นั้น เพราะเห็นกำลังสาละวนอยู่กับการกางผ้าม่าน รู้ในใจขึ้นมาว่า เป็นท้าวเวสสุวรรณ มาป้องกันอากาศหนาวให้ โดยใช้ผ้าม่านสีแดงกางกั้นไว้ มีความอบอุ่นพอดีๆ เทวดาเหล่าก็ไปกางถวายพระมหาทองสุกด้วย พอกางเสร็จก็ไป แปลก ไม่บอกไม่ลาไม่ไหว้ ทำธุระเสร็จแล้วก็หายไป ไม่เหมือนเทพองค์อื่นๆ เวลามา มีการกล่าวขานกัน แต่เทพนี้มาแปลก ท่านว่า
อาการของม่าน เวลาจะไปบิณฑบาตหรือ ยืน เดิน นั่ง นอน ปรากฏว่าจะกางกั้นไว้ ไม่กว้างไม่แคบ พอดีๆ ตื่นเช้าถามพระมหาทองสุกว่า "หนาวไหม"
"ไม่หนาว"
แต่ท่านจะรู้ว่ามีม่านกั้นหรือเปล่าไม่ได้ถาม แต่ตัวท่านพระอาจารย์เห็นม่านกั้นพระมหาทองสุกอยู่ พอไปบิณฑบาต ชาวบ้านร้องทักว่า "ตุ๊เจ้าบ่หนาวก๊าๆ " ตลอดทาง
ท่านว่าม่านนั้นค่อยๆ จางไป พร้อมกับอากาศค่อยอุ่นขึ้น จนบัดนี้ก็ไม่เคยเห็นท้าวเวสสุวรรณอีก
บริเวณที่คาดว่าเคยเป็นที่ตั้งที่พักสงฆ์ ครั้นองค์หลวงปู่มั่น ได้มาจำพรรษา ภายหลังหลวงประสิทธิ์ ปุญฺญมากโร พร้อมคณะสงฆ์ ได้เคยมาเยี่ยมชมบริเวณดังกล่าว ถ่ายเมื่อปี พ.ศ.2555 (รูปโดย Admin)
ดอยมูเซอ ที่กล่าวถึงตามแหล่งข้อมูลต่างๆ ในปัจจุบัน
เนื่องจากในอัตตโนประวัติหลวงปู่เทสก์ ที่เป็นเรื่องราวหลักของตอนนี้ ไม่ได้ระบุตำแหน่งที่ชัดเจน แต่คาดว่าน่าจะอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ไกลไปจาก อ.พร้าว จ.เชียงใหม่มากนัก จากประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดยหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร ที่ Admin ได้ยึดเป็นแกนหลักในการระบุสถานที่และปีที่องค์หลวงปู่มั่นจำพรรษานั้น ได้กล่าวว่าในปี พ.ศ. 2479 องค์หลวงปู่มั่นจำพรรษา ณ ดอยมูเซอ แต่มีการระบุตำแหน่งอำเภอที่แตกต่างกัน กล่าวคือ ในประวัติองค์หลวงปู่มั่นฯ ฉบับสมบูรณ์ ได้กล่าวว่า อยู่ในพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย แต่ในใประวัติองค์หลวงปู่มั่นฯ ฉบับย่อ ได้กล่าวว่า อยู่ในพื้นที่ อ.แม่สรวย จ.เชียงราย และยังได้ระบุผู้ที่จำพรรษาด้วย คือ "...พระอาจารย์เทสก์ขึ้นไปด้วย..." (พระญาณวิริยะ, ประวัติย่อ พระอาจารย์มั่นฯ ในหนังสือที่ระลึกงานฌาปนกิจ นางพุ่ม งามเอก พ.ศ.2520)
จากการลงพื้นที่โดย Admin การสัมภาษณ์กราบเรียนถามครูบาอาจารย์ ที่ได้เคยไปจาริกไปตามในช่วงหลัง และจากข้อมูลหนังสือต่างๆ ถ้าหากมองเป็นพื้นที่กว้าง ดอยมูเซอนี้น่าจะอยู่ในบริเวณพื้นที่ป่ากว้างใหญ่รอยต่อระหว่างจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ใน อ.พร้าว ของ จ.เชียงใหม่ กับ อ.แม่สรวย ใน จ.เชียงราย ซึ่งจากประวัติ หลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ ได้ให้พิกัดไว้ว่าอยู่บนดอยนางแก้ว ซึ่งเป็นดอยกว้างใหญ่ซึ่งมีพื้นที่ในบริเวณนั้น อีกทั้งเป็นพื้นที่อยู่ของชาวเขาหลายชาติพันธุ์ที่ทำไร่เลื่อนลอยแปรเปลี่ยนไป
พิกัดที่ชัดเจน สามารถระบุได้ 2 พื้นที่คือ (1) บ้านห้วยน้ำขุ่น อ.แม่สรวย จ.เชียงราย กับ (2) ม่อนล้าน อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1) บ้านห้วยน้ำขุ่น อ.แม่สรวย จ.เชียงราย สถานที่นี้ผู้เขียนได้เคยกราบเรียนถาม หลวงปู่เสถียร คุณวโร และหลวงปู่กวง โกสลฺโล ถึงตำแหน่งที่ดอยมูเซอ ท่านทั้งสองได้เมตตาเล่าว่า คือ บ้านห้วยน้ำขุ่น จากประวัติหลวงปู่เสถียร ได้บันทึกไว้ดังนี้
พรรษาที่ 13 (พ.ศ. 2513) ดอยมูเซอ ห้วยน้ำขุ่น อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
...มาจำพรรษาที่ดอยมูเซอ ห้วยน้ำขุ่น อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ เป็นสถานที่เผ่ามูเซอเรียกองค์หลวงปู่มั่นว่า "เสือเย็น" หลวงปู่บอกว่า สถานที่นี้เป็นที่อัตคัตขัดสนที่สุด แต่ก็สัปปายะที่สุดสำหรับการบำเพ็ญเพียรภาวนาทางจิต เป็นที่ที่ทำจิตใจท่านมีกำลังดี อีกทั้งอากาศที่นี่ก็เย็นสบายตลอดทั้งปี หน้าแล้งก็ไม่ร้อน หน้าฝนก็สบายดี การภาวนาที่นี่นั้น ท่านมีความปิติรื่นรมย์ในธรรมตลอดพรรษา บริเวณที่ที่ท่านไปพักอยู่นั้น เป็นบริเวณเดียวกันกับที่องค์หลวงปู่มั่นท่านเคยไปจำพรรษา แต่เป็นคนละจุดกัน เพราะชาวมูเซอที่นี่จะย้ายที่ทำกินหรือเรียกว่า ทำไร่เลื่อนลอยไปเรื่อยๆ จึงทำให้ย้ายตำแหน่งไปเรื่อยๆ แต่ก็เป็นชาวบ้านกลุ่มเดียวกัน ท่านยังเคยถามชาวบ้านที่นี่ หลายคนต่างก็เคยใส่บาตรกับองค์หลวงปู่มั่น และบำเพ็ญภาวนาตามที่องค์หลวงปู่มั่นเคยสอน... (ชีวประวัติย่อ หลวงปู่เสถียร คุณวโร, 2555)
นอกจากนั้น ยังปรากฏในประวัติครูบาอาจารย์ที่ภายหลัง ได้ติดตามไปยังดอยมูเซอแห่งนี้ ได้กล่าวไว้ดังนี้
ประวัติหลวงปู่คูณ สุเมโธ ช่วงออกพรรษาปี พ.ศ.2521 ในช่วงออกพรรษา ท่านได้จาริกทางภาคเหนือ จนไปถึงบ้านห้วยน้ำขุ่น จากประวัติของหลวงปู่คูณ ได้บันทึกไว้ดังนี้
... จากนั้นอาจารย์เย็น (อกฺโกธโน) ก็พาเราเที่ยววิเวกไปตามบ้านมูเซอบ้านนั้นบ้านนี้ นั่นล่ะจึงได้ขึ้นไปพักที่ดอยพุทโธหาย (บ้านน้ำขุ่น) หมู่บ้านที่หลวงปู่มั่นไปภาวนา ชาวบ้านว่าหลวงปู่มั่นเป็นเสือเย็น และได้สอนให้ชาวเขาตามหาพุทโธ ภาวนาก็ดีอยู่นะ... (ธรรมค้ำคูณ พระครูวิมลภาวนาคุณ,2556:237)
นอกจากนั้น ยังมีครูบาอาจารย์ที่เคยพักภาวนาและจำพรรษาที่ บ้านห้วยน้ำขุ่น ในยุคหลังจากองค์หลวงปู่มั่น มรณภาพแล้ว ได้แก่ พระอาจารย์ปิ่น ปิยธมฺโม หลวงปู่ประสิทธิ์ ปุญฺญมากโร หลวงปู่สมหมาย จิตฺตปาโล เป็นต้น ท่านได้สืบทอดความทรงจำของสถานที่นี้ไว้ก่อนที่จะเลือนหายในยุคถัดมา
จากการบันทึกโดย ส.กวีวัฒน์ ได้กล่าวถึงในบทความ "วัดหลวงปู่มั่นที่ดอยน้ำขุ่นหายไปไหน" ถึงเหตุที่ทำให้สถานที่องค์หลวงปู่มั่นได้สิ้นสภาพไป เริ่มผู้อพยพกลุ่มใหญ่เข้ามาผลักดันชาวเขาที่เคยอยู่มาก่อน ในช่วง พ.ศ. 2524-2526 จากการสู้รบกับผู้ก่อการร้ายทำให้ชาวเขามูเซอ ซึ่งก็คือลาฮูนะเดิมต้องถอยออกไปจากพื้นที่ ทำให้สถานที่องค์หลวงปู่มั่นขาดการดูแลและเลือนหายไปในที่สุด โดยปัจจุบัน บ้านห้วยน้ำขุ่น ได้อยู่ในพื้นที่การดูแลของ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงดอยน้ำขุ่น
... พื้นที่ทำมาหากินถิ่นอุดม ป่าดงดิบที่กว้างใหญ่ไพศาล แหล่งต้นน้ำลำธารที่หลากหลาย บนสันเขาและยอดเขาสูงทั้งในเขตเชียงใหม่และเชียงราย จึงถูกทำลายไปอย่างน่าตกใจ...กระเหรี่ยงและลาฮูนะคือชาวเขาเผ่าเดิมในเขตนี้ (ไม่นับคนเมือง) ต้องอพยพละทิ้งถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่น หรือไม่ก็ถูกกลืน แต่ก็นับว่าเป็นโชคดีของชนกลุ่มน้อยชาวไทยภูเขา ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระราชทาน พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์โปรดให้ตั้ง "โครงการหลวง" เพื่อปวงประชาขึ้นมา ที่ปัจจุบันเรียก "ศูนย์พัฒนาโครงการหลวง"... (ส.กวีวัฒน์ ใน วัดหลวงปู่มั่นที่ดอยน้ำขุ่นหายไปไหน 2563:60-64)
(รูปจาก จารึกไว้ในลานนา)
2) ดอยม่อนล้าน อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ จากการศึกษาโดย ส.กวีวัฒน์ ได้ระบุว่า เป็นสถานที่องค์หลวงปู่มั่นได้มาจำพรรษา อีกทั้งยังเป็นที่เกิดเหตุการณ์ที่ องค์หลวงปู่มั่น ให้อุบายชาวบ้านภาวนาหาพุทโธ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
บริเวณดอยม่อนล้าน อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ อยู่ในพื้นที่พัฒนาเกษตรที่สูง ตามพระราชดำริ ดอยม่อนล้าน
ปัจจุบันมีการก่อสร้างเป็นอนุสรณ์สถานดอนพุทโธหาย (รูปโดย Admin)
... บริเวณดอยม่อนล้านเมื่อก่อนนั้น เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยและที่ทำกินของชาวลาฮูนะ (มูเซอดำ) แห่งบ้านปู่พญา ผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา หลวงปู่มั่นเคยอยู่จำพรรษา ร่วมกับหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี และพระอ่อนสี สุเมโธ เมื่อปี พ.ศ.2479 ต่อมาปี พ.ศ.2559 พระสงฆ์และเจ้าหน้าที่สถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริดอยม่อนล้าน ได้ร่วมกันสร้างศาลาธรรมดอยพุทโธหาย มีรูปเหมือนหลวงปู่มั่นประดิษฐานไว้ภายใน เพื่อเป็นอนุสรณ์รำลึกนึกถึงคุณูปการของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต...(ส.กวีวัฒน์ ใน ประวัติพุทโธหายบนดอยม่อนล้าน,2563:186-187)
สภาพธรรมชาติบริเวณดอยม่อนล้าน อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ (รูปโดย Admin)
กล่าวโดยสรุปทั้งบ้านห้วยน้ำขุ่นกับม่อนล้านนั้น ตั้งอยู่ใกล้เคียงกันในพื้นที่รอยต่อระหว่างจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ที่ผู้คนชาวเขาล้วนสัญจรผ่านมาเนิ่นนาน มีหมู่บ้านชาวเขากระจายตัวอยู่ในพื้นที่ รวมถึงบ้านป่าเมี่ยงห้วยทรายและป่าเมี่ยงขุนปั๋งที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น ก็อยู่ในอาณาบริเวณนี้ ซึ่งองค์หลวงปู่มั่นคงได้จาริกภาวนาตามป่าเขาอันกว้างใหญ่นั้นอย่างโชกโชน และโปรดชาวบ้านชาวเขามานับมิถ้วน ประการสำคัญขาดการบันทึกทำหมุดหมายสถานที่อย่างแน่นอนมาแต่ครั้งอดีต ทำให้ระบุสถานที่เป็นจริงได้ยาก แต่ขอให้รำลึกไว้ว่าผืนป่านี้คือพื้นที่สิริมงคลที่องค์หลวงปู่มั่นได้เคยจาริก ควรช่วยกันอนุรักษ์ให้ยังคงอยู่ชั่วลูกชั่วหลาน
อ้างอิง
●ดำรง ภู่ระย้า, หลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ, นิตยสารโลกทิพย์ (ฉบับที่ 76 ปีที่ 5) มีนาคม (ฉบับแรก), 2529.
●พระบวร พุทฺธญาโณ, ใต้จิตสำนึก หลวงปู่ขาว อนาลโย, คณะศิษยานุศิษย์วัดถ้ำกลองเพล : อุดรธานี, 2532.
●พระราชธรรมเจติยาจารย์ (วิริยังค์ สิรินฺธโร), ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ (ฉบับสมบูรณ์), สถาบันพลังจิตตานุภาพ : กรุงเทพฯ, 2541.
●พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (เทสก์ เทสรังสี), อัตตโนประวัติพระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์(เทสก์ เทสรังสี), ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพฯ, พ.ศ.2539
●พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (เทสก์ เทสรังสี), โครงการหนังสือบูรพาจารย์เล่มที่ 10, รศ.ดร.ปฐม-ภัทรา นิคมานนท์ : กรุงเทพฯ, 2548.
●มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, อนุสรณ์หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, โรงพิมพ์มูลนิธินวมราชานุสรณ์ : นครนายก, มปพ.
●พระญาณวิริยะ, ประวัติย่อ พระอาจารย์มั่นฯ ในหนังสือที่ระลึกงานฌาปนกิจ นางพุ่ม งามเอก พ.ศ.2520
●ธรรมค้ำคูณ พระครูวิมลภาวนาคุณ (หลวงพ่อคูณ สุเมโธ) วัดป่าภูทอง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี โดยคณะศิษยานุศิษย์, พ.ศ. 2556.
●พระครูจิตตภาวนานุสิฐ (หลวงปู่สมหมาย จิตฺตปาโล) โดย คณะศิษยานุศิษย์, พ.ศ.2563.
●บทความ "ประวัติพุทโธหายบนดอยม่อนล้าน" โดย ส.กวีวัฒน์ จากหนังสือ จารึกไว้ในล้านนา พ.ศ.2563.
● ชีวประวัติย่อ หลวงปู่เสถียร คุณวโร วัดถ้ำพระภูวัว อ.เซกา จ.บึงกาฬ โดย คณะศิษยานุศิษย์, พ.ศ.2555.
●บทความ "วัดหลวงปู่มั่นที่ดอยน้ำขุ่นหายไปไหน" โดย ส.กวีวัฒน์ จากหนังสือ จารึกไว้ในล้านนา พ.ศ.2563.
● Admin แฟนพันธุ์แท้ศิษย์หลวงปู่มั่น และ www.luangpumun.org บทความ ป่าเมี่ยงในประวัติหลวงปู่มั่น พ.ศ.2565 https://www.facebook.com/100039176607158/posts/pfbid026o6sw9Tuar95XFsZBA5DobFPYavePp9Ezk9kkGPMD4bfooiZpmi2ApQMRWxov3Fvl/?mibextid=Nif5oz