ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ร่วมเดินไปยังสถานที่ที่เกี่ยวเนื่อง กับองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต พร้อมเรื่องราวความสำคัญ ศิษยานุศิษย์ที่เข้ามาฝากตัว เป็นสานุศิษย์ถักทอสู่ "กองทัพธรรมพระกรรมฐาน" โดยเว็บมาสเตอร์ www.luangpumun.org และสุดยอดแฟนพันธุ์แท้ ศิษยานุศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จากรายการ แฟนพันธุ์แท้ 2018

เมนูหลัก ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น คลิ๊ก

จำพรรษาดอยมูเซอ กับหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
ดอยมูเซอ อ.แม่สรวย จ.เชียงราย (ตอนที่
1 พ.ศ. 2479)
ตามรอยองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ตอนที่ 39


ขุนเขาสลับซับซ้อนบริเวณ บ้านห้วยน้ำขุ่น อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ในอดีตคือป่าหนาทึบ ที่องค์หลวงปู่มั่น
ภูริทตฺโต และคณะศิษย์ ได้เคยจาริกมาภาวนาและโปรดชาวเขา ถ่ายเมื่อปี พ.ศ.
2555 (รูปโดย Admin)

          ในพรรษากาลปี พ.ศ. 2478 องค์หลวงปู่มั่นจำพรรษา ณ ดอยนะโม อ.พร้าว จ.เชียงใหม่

ในส่วนของหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จำพรรษา ณ ดอยมูเซอ บ้านปู่พญา เพียงรูปเดียว เมื่อออกพรรษาผ่านไปแล้ว ชาวมูเซอยังมีศรัทธานิมนต์หลวงปู่เทสก์ ได้จำพรรษาต่อเนื่องในปีถัดมาซึ่งหลวงปู่เทสก์ ได้ลงไปกราบเรียนองค์หลวงปู่มั่น ถึงความศรัทธาของชาวมูเซอ ที่มีน้ำใสใจจริงที่สัตย์ซื่อ ควรต่อการอบรมสั่งสอนทำให้องค์หลวงปู่มั่นเมตตาไปจำพรรษาด้วย พร้อมกับหลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ

ดังนั้นในพรรษากาลปี พ.ศ. 2479 มีพระจำพรรษาที่ดอยมูเซอ 3 รูป คือ องค์หลวงปู่มั่น หลวงปู่เทสก์ และหลวงปู่อ่อนสี องค์หลวงปู่มั่นได้พยากรณ์อายุของท่านเองจะสิ้นสุดลงที่ 80 ปี และปรารภที่จะกลับคืนสู่ภาคอีสานเป็นครั้งแรก หลังจากออกพรรษาแล้ว ท่านได้จาริกไปทาง อ.แม่สาย จ.เชียงราย และได้จำพรรษา ณ วัดพระธาตุจอมแจ้ง อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ในปี พ.ศ. 2480

อนึ่งในตอนนี้ จะได้เสนอบริเวณที่กล่าวกันว่า เป็นสถานที่จำพรรษาจากการศึกษาจากข้อมูลต่างๆ โดยมีลำดับเหตุการณ์ ดังนี้


1) สิ่งแวดล้อมดอยมูเซอจากญาณวิถีองค์หลวงปู่มั่น

          สภาพแวดล้อมของดอยมูเซอในอดีต ตลอดถึงความศรัทธาที่ถึงแม้จะยังยึดถือในพระพุทธศาสนา แต่ความเชื่อในเรื่องผีสิ่งที่มองไม่เห็นก็ยังฝังแน่นอยู่ องค์หลวงปู่มั่นได้กล่าวถึงในบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดยหลวงพ่อวิริยังค์ ไว้ดังนี้

          ... ท่านอาจารย์มั่น ฯ เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า เมื่อคณะศิษย์พากันมาหามากขึ้นทั้งเก่าและทั้งใหม่ ท่านอบรมธรรมอันเป็นภายในที่มีความสำคัญตามสมควรแล้ว ท่านก็ให้แยกย้ายกันไปแสวงหาสถานที่วิเวกตามอัธยาศัย ส่วนตัวของท่านก็เลือกเอายอดเขาที่พวกชาวเขาเหล่ามูเซอ อันเป็นยอดเขาลูกหนึ่งที่สูงมากในอำเภอแม่สาย (น่าจะเป็น อ.แม่สรวย Admin) แห่งนี้และมีหมู่บ้านประมาณ 10 ครอบครัว อากาศบนยอดเขานี้หนาวตลอดปี บ้านพวกชาวเขาที่พวกเขาอยู่กันได้สร้างขึ้นด้วยไม้และมุงหญ้าทำไม้เป็นแผ่นมีทั้งกระพี้และเปลือก ถากเป็นกระดานล้อมรอบบ้านทุกๆ หลังแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงก็ให้อยู่ในบ้านหมด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าอากาศหนาวจัดแต่มีกลิ่นสาบน่าดู ถึงเช่นนั้นพวกเขาก็สามารถอยู่ได้ เพราะความเคยชินนั่นเอง ท่านเล่าว่าพวกชาวเขาเหล่านี้รูปร่างก็ไม่เลว แต่หนักไปทางคนจีนอยู่ไม่น้อย... (พระราชธรรมเจติยาจารย์, 2541:264-269)

          ...การบำเพ็ญประโยชน์แก่พวกอยู่ในป่าดงอันเป็นถิ่นที่แสนจะกันดาร และต่างภาษานั้นยากนัก ในสมัยนั้นการไปไหนแต่ละแห่งต้องใช้การเดินใช้เวลาหลายๆ วันจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ก็การอยู่กับพวกชาวเขาเผ่าหนึ่ง คือ มูเซอ ท่านก็ได้อาศัยพวกเหล่านี้อยู่จำพรรษา ท่านเล่าว่า

“ ก็อัศจรรย์พวกนี้อยู่อย่างหนึ่ง คือ มีพวกมิชชันนารีที่เป็นบาทหลวงขึ้นไปแนะนำให้เขานับถือคริสตังคริสเตียน มีหลายพวกหลายครั้งที่พวกบาทหลวงเหล่านั้นไปสอน ทั้งแจกสิ่งของมากมาย แต่พวกนี้ก็ไม่ยอมจะเข้าศาสนากับพวกนั้นเลย ครั้นเมื่อพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาไปอยู่ พวกนี้จะทำบุญด้วย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าอยู่ในพระพุทธศาสนา เพราะพวกนั้นนับถือภูตผีปีศาจอยู่แล้ว”

อย่างไรก็ตาม พวกชาวเขานี้จำนวนมากทั้งเชียงรายเชียงใหม่ คณะของพระอาจารย์มั่นฯ ได้ไปช่วยแนะนำสั่งสอนพระพุทธศาสนาไว้เป็นพื้นฐานมากทีเดียว จึงเป็นนิสัยติดต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้ นับเป็นการปูพื้นฐานการนับถือพระพุทธศาสนาแก่ชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ไว้แล้วตามสมควร ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มีใครสนใจชาวเขากันเลย... (พระราชธรรมเจติยาจารย์, 2541:270)

No_10ลปเทสก์.pdf - Adobe Acrobat Reader (64-bit)
หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี ได้ขึ้นมาวางพื้นฐานขนบธรรมเนียมทางพระพุทธศาสนา ให้กับชาวเขาดอยมูเซอ ในปี พ.ศ. 2478 ก่อนนิมนต์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต มาจำพรรษาในปี พ.ศ. 2479 (รูปจาก โครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่มที่ 10)

2) องค์หลวงปู่เทสก์วางพื้นฐานชาวมูเซอ

          ในช่วงก่อนจะเข้าพรรษาปี พ.ศ. 2478 หลวงปู่เทสก์ ได้ไปวิเวกกับหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ จนกระทั่งได้แยกกัน โดยหลวงปู่เทสก์ได้ขึ้นมายังดอยมูเซอ บ้านปู่พญา เพียงรูปเดียว ซึ่งชาวบ้านมีศรัทธาดี พากันจัดเสนาสนะให้ท่านพำนัก แต่ด้วยไม่เคยมีพระสงฆ์ขึ้นไปอบรมข้อปฏิบัติต่างๆ ทำให้ชาวบ้านไม่ทราบธรรมเนียมประเพณีที่เหมาะสม เมื่อหลวงปู่เทสก์ได้สั่งสอนแล้วก็ปฏิบัติตามโดยดี ท่านได้ให้อุบายเพื่อถนอมน้ำใจชาวบ้านและไม่กระทบกับการภาวนาของท่านด้วยได้แก่

1. ชาวบ้านต่างตื่นเต้นในการมาของท่าน ต่างมาจับจ้องท่านตลอดเวลา ที่หนักหน่อยก็ตอนเดินจงกรม พากันเดินกลับไปกลับมาตามท่าน จนท่านทนไม่ไหวต้องนั่งลง และทำความเข้าใจว่า ให้พากันนั่งลง แล้วพนมมือจะได้บุญ

          2. หมู่บ้านนี้มี 12 หลัง แต่ตักบาตรเพียง 3 หลัง ภายหลังจึงทราบว่าทุกบ้านก็อยากจะใส่บาตร แต่ไม่มีข้าวจะใส่ เนื่องจากกินมันป่าต้มแทนข้าว เนื่องจากท่านชอบฉันมันนึ่งอยู่แล้ว ท่านจึงบอกว่า “ฉันชอบมันนึ่งจึงได้ขึ้นมาอยู่ด้วยพวกเธอ ถ้าหาไม่แล้วฉันไม่ได้มาดอก” เมื่อชาวบ้านทราบก็ต่างไปขุดมันป่ามานึ่งใส่บาตรเต็มทุกวัน เขากลัวจะไม่ฉันให้ ตามมาดูตอนฉัน ท่านก็ฉันให้เห็นอย่างตั้งใจ

          3. หลวงปู่เทสก์ได้สอนไม่ให้ชาวบ้านเล่นการพนัน ชาวบ้านก็ไม่เล่นการพนัน เพราะจะมีคนจากภายนอกมาชวนให้เล่นด้วย ผลทำให้มีเงินเก็บกัน

          คงด้วยอานิสงส์ของการประกอบกรรมดี หลวงปู่เทสก์ได้ให้ข้อสังเกตไว้ กล่าวคือ

          ...แม้ปีนั้นปลูกข้าวแล้วฝนไม่ดี ทำให้ข้าวที่ปลูกไว้เหี่ยวแห้งเหลืองซีดไปหมด ยังเหลือสิบวันจะเข้าพรรษา เขาพากันจัดเสนาสนะให้เราอยู่เสร็จเรียบร้อย ฝนตกลงมาอย่างน่าอัศจรรย์ เขาพากันดีใจอย่างล้นพ้นว่า เป็นเพราะบุญของเขาที่ทำวัดให้เราอยู่ ข้าวได้เขียวขจีงามทันหูทันตา ปีนั้นเขาทำไร่ได้ข้าวมากจนเหลือบริโภค บางคนจนได้ขายก็มี...มูเซอคุยโม้อวดเราว่า ตุ๊เจ้า (ท่าน) มาอยู่ด้วยดีมาก ข้าวไร่อุดมได้มากเหลือกิน บางคนจนได้ขายวัว ควาย (เขาเลี้ยงไว้ไม่ได้ใช้งาน) ที่ไม่เคยได้ขายก็ได้ขาย (ปกติเขาเลี้ยงหมูขายเป็นรายได้ประจำครอบครัว) พริกแห้งเป็นรายได้ประเภทหนึ่ง นอกนี้แล้วไม่มีรายได้อะไรเลย เงินทองเราก็เก็บไว้ได้เหลือใช้...(พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์, 2549:68-70)

          ในพรรษา หลวงปู่เทสก์ ได้ประกอบความเพียรโดยอดอาหาร 5 วัน ปรากฏว่าชาวบ้านต่างเป็นห่วง เวียนกันมาสังเกต จนครบเวลา 5 วัน ท่านก็กลับมาฉัน ทำให้ชาวบ้านต่างดีใจเป็นอย่างมาก โดยท่านได้สรุปผลของการปฏิบัติในครั้งนั้นไว้ดังนี้

          ...แท้จริงการอดอาหารมิใช่ทางให้ตรัสรู้ พระพุทธเจ้าของเราได้ทรงบำเพ็ญมาแล้ว บอกว่าเป็นอัตตกิลมถานุโยค แม้ครูบาอาจารย์ของเราทุกๆ ท่านก็บอกเราเช่นนั้นเหมือนกัน ตัวเราเองก็เคยได้กระทำมาแล้ว มันเป็นเพียงเครื่องทรมานกายเท่านั้น หาได้เกิดปัญญาฉลาดค้นคว้าในธรรมให้ฉลาดเฉียบแหลมอะไรไม่ แต่นี่เราทำเพื่อทดสอบกำลังใจของตนเองดูว่า ความอาลัยในชีวิตกับความเชื่อมั่นในคุณธรรมที่เราเห็นแล้ว อะไรจะมีน้ำหนักกว่ากัน... (พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์, 2549:68-70)


บ้านห้วยน้ำขุ่น อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ในปัจจุบันเป็นที่อยู่อาศัยของหลายชาติพันธุ (รูปโดย Admin)

4) ออกพรรษานิมนต์องค์หลวงปู่มั่นมายังดอยมูเซอ

          ออกพรรษาแล้ว ผู้เป็นหัวหน้าได้นำผ้าขาวหนึ่งพับมาทอดเป็นผ้าป่าถวาย ท่านได้ลาชาวบ้านลงไปกราบองค์หลวงปู่มั่นที่ดอยนะโม แต่ชาวบ้านต่างร้องห่มร้องไห้ขอให้ท่านกลับมาที่ดอยมูเซอ หลวงปู่เทสก์ยังไม่แน่ใจว่าจะได้กลับมาอีกหรือไม่ จึงตอบไปว่าขอลงไปดูก่อน อาจได้กลับมาอีก

          เมื่อไปถึงดอยนะโมแล้ว องค์หลวงปู่เทสก์ ได้เล่าถึงอุปนิสัยพฤติการณ์ของชาวมูเซอร์ที่มีความหวัง อยากให้ได้กลับไปโปรดอยู่อีก ซึ่งองค์หลวงปู่มั่นได้ฟังก็มีเมตตาจะเดินทางไปดอยมูเซอ พร้อมกับหลวงปู่เทสก์ และมีหลวงปู่อ่อนสี ติดตามไปด้วย รวมเป็น 3 รูป ซึ่งหลวงปู่เทสก์ได้บันทึกรายละเอียดจิตใจของชาวมูเซอที่น่าจะทำให้องค์หลวงปู่มั่นเมตตาจะไปร่วมกันอบรมสั่งสอน ไว้ดังนี้

          ... คิดดูแล้วก็น่าสงสารคนบ้านป่าไกลความเจริญแต่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีใครไปอบรมเขาเป็นสิบๆ ปี หากไม่มีคดีอุกฉกรรจ์แล้ว เจ้านายก็ไม่ขึ้นไปให้เขาเห็นหน้าเลย เขาบริหารกันเอง เชื่อถือหัวหน้ากันเคร่งครัด ใครไม่ดี เช่น เป็นคนหัวแข็งหาเรื่องทะเลาะวิวาทเพื่อนบ่อยๆ หัวหน้าตักเตือนไม่เชื่อฟัง หัวหน้าต้องขับหนีจากหมู่บ้าน เมื่อแกไม่ไปเขาก็ต้องหนีจากแกไป ส่วนการขโมยรับรองไม่มีเด็ดขาด ... (พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์, 2549:68)


รูปดอยพระเจ้าในอดีต (รูปโดย
Admin)


รูปดอยพระเจ้าในปัจจุบัน เมื่อองค์หลวงปู่มั่น พร้อมด้วยหลวงปู่เทสก์ และหลวงปู่อ่อนสี กำลังเดินทางไปที่ดอยมูเซอ เมื่อมาถึงที่ดอยพระเจ้า บ้านป่าไหน่ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ปรากฏว่าหลวงปู่อ่อนสี อาพาธไม่สามารถเดินทางไปต่อได้ต้องพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ ต่อมาเมื่อใกล้เข้าพรรษา หลวงปู่เทสก์ได้รับบัญชาจากองค์หลวงปู่มั่น ให้พาหลวงปู่อ่อนสีขึ้นไปจำพรรษายังดอยมูเซอ (รูปโดย Admin)

          เมื่อตกลงกันแล้ว ขณะเดินทางไปพร้อมกันนั้น หลวงปู่อ่อนสี เกิดอาพาธต้องพักรักษาตัวอยู่ที่ดอยพระเจ้า บ้านป่าไหน่ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ทำให้องค์หลวงปู่มั่น กับหลวงปู่เทสก์ ขึ้นไปภาวนาที่ดอยมูเซอก่อน

จนเมื่อจะใกล้เข้าพรรษาองค์หลวงปู่มั่น ได้ให้หลวงปู่เทสก์ลงมาตามหลวงปู่อ่อนสีขึ้นไปจำพรรษาด้วย (ดำรงค์ ภู่ระย้า, 2529:28) แต่พอองค์หลวงปู่มั่นขึ้นไปถึงดอยมูเซอแล้วปรากฏว่าท่านไม่ถูกกับอากาศหนาวทำให้อาพาธ แต่องค์หลวงปู่มั่นใช้การปรารภความเพียรจนผ่านการอาพาธมาได้ โดยหลวงปู่เทสก์ได้บันทึกไว้ ดังนี้

.... การกลับไปครั้งนี้ทำให้เราลำบากใจ เพราะเขาทำความสนิทสนมกับเรามากกว่าท่านอาจารย์ อนึ่งท่านอาจารย์ท่านไม่ค่อยถูกกับอากาศเย็น เมื่อไปถูกกับอากาศเย็นเข้าอาพาธของท่านก็กำเริบแทบจะอยู่ไม่ไหว แต่ด้วยใจนักต่อสู้ท่านก็เอาชนะจนอยู่ได้ตลอดพรรษา

คราวนี้เราทำความเพียรดีมากเพราะนอกจากใช้อุบายของตนเองแล้ว ก็ได้อาจารย์ช่วยให้อุบายเราศึกษากับท่านอยู่ตลอดเวลา

พอจวนเข้าพรรษาท่านอาจารย์ให้เราลงมาเอาท่านอ่อนสีไปอยู่ด้วย พอเราจากท่านไป 5 คืน ท่านอยู่องค์เดียวได้วิเวกปรารภความเพียรอย่างเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ท่านกลับได้อุบายดีโด่งเลย อาพาธของท่านก็หายไปพร้อมๆ กัน .... (พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์, 2549:70-71)

Presentation1 - PowerPoint
ครูบาอาจารย์ที่จำพรรษา ณ ดอยมูเซอ ปี พ.ศ.2479 ประกอบด้วย องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี และหลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ (รูปจาก ฐานข้อมูล Admin)

5) เข้าพรรษาอบรมศิษย์

          ในช่วงเข้าพรรษานี้ องค์หลวงปู่มั่นได้เมตตาอบรมหลวงปู่เทสก์ และหลวงปู่อ่อนสี จากบันทึกของหลวงปู่เทสก์ ได้กล่าวไว้ดังนี้

          ... พรรษานี้เราทั้งสามต่างก็ตั้งใจปรารภความเพียรจนเต็มความสามารถของตนๆ แม้เหตุการณ์บางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภายนอก หรือเนื่องด้วยอุบายในทางธรรม ใครมีอะไรเกิดขึ้น เกือบจะเรียกได้ว่ารู้ด้วยกันทั้งนั้น ...

          ... ท่านอาจารย์ได้อบรมด้วยเล่ห์เหลี่ยมแลอุบายต่างๆ อย่างไม่เคยเห็นท่านทำมาแต่ก่อนเลย เราก็ได้ทำตามแลทำทันถูกต้องตามอุบายนั้นๆ ของท่านทุกประการ จนท่านออกอุทานเปรยๆ ว่าท่านเทสก์นี้ใจร้อน แล้วท่านแสดงนิสัยตามความจริงของท่านออกมาตรงๆ เลย นับว่าเป็นโชคดีของเรา ที่ได้อาจารย์ผู้อบรมเช่นนั้นให้แก่เรา เราเข้าใจว่าท่านอบรมลูกศิษย์ผู้เช่นอย่างเรา คงจะหาโอกาสได้น้อย เพราะบุคคล สถานที่ และโอกาส เวลาไม่อำนวยเช่นนั้น(พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์, 2549:70-71)


วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร สถานที่องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ถึงแก่มรณภาพ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2492 สิริอายุ 80 ปี ตามที่องค์ท่านได้พยากรณ์ท่านเองไว้ ณ ดอยมูเซอร์ (รูปโดย คุณโดมีสิทธิ์ ทองสุข)

6) พยากรณ์อายุ

          ในโอกาสที่จำพรรษาด้วยกันนี้ องค์หลวงปู่มั่น ได้พยากรณ์เรื่องต่างๆ โดยเฉพาะขององค์ท่านที่จะสิ้นสุดลงที่ 80 ปี โดยองค์หลวงปู่เทสก์ ได้บันทึกไว้ ดังนี้

          ... พรรษานี้ท่านอาจารย์ได้พยากรณ์อายุของท่านอย่างถูกต้อง ...(พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์, 2549:70-71)

          เกี่ยวกับการพยากรณ์อายุ จากบันทึกรำลึกวันวาน โดย หลวงตาทองคำ ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งที่องค์หลวงปู่อายุ 60 ปี ได้ประสบภาวะอาพาธในคราวนั้นมี พระอาจารย์มหาทองสุก ถวายการพยาบาลอยู่ องค์หลวงปู่มั่นได้ปลงอายุสังขารอาจจะหมดลงที่อายุ 60 ปี แต่ถ้ายังเจริญอายุต่อไปอีกจะเป็นประโยชน์ต่อหมู่คณะ ถ้ารักษาอิทธิบาทจะอยู่ได้อีก 20 ปี รวมเป็นอายุ 80 ปี โดยมีรายละเอียดในรำลึกวันวาน ดังนี้

          ... เรื่องการต่ออายุจาก 60 ปี มาเป็น 80 ปี ท่าน (กล่าวถึงองค์หลวงปู่มั่น Admin) ได้เล่าไว้หลายสถานที่ หลายโอกาส หลายวาระ ปีนั้นท่านจำพรรษาที่อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ อยู่ที่ราบไม่ใช่ภูเขากับพระมหาทองสุก สุจิตโต ปีนั้นพอเริ่มเข้าพรรษา ท่านมีอาการเจ็บป่วย พระผู้พยาบาลก็พระมหาทองสุกนั้นล่ะ ท่านมีความรู้ทางยาด้วย ท่านพระอาจารย์กำหนดรู้แล้วว่า ท่านถึงอายุขัย จะสิ้นชีพปีนี้แน่ แต่มีข้อแม้ว่าถ้าท่านมีอิทธิบาทอันเจริญดีแล้ว สามารถอยู่ต่อไปได้อีก 20 ปี เป็น 80 ปี เท่าพระพุทธเจ้า  ท่านจึงมาพิจารณาดูว่า อยู่กับตายอย่างไหนมีค่ามาก รู้ว่าอยู่มีค่ามาก เพราะสานุศิษย์ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตหวังเฉพาะให้ท่านอยู่ แต่คำว่าอิทธิบาทอันเจริญดีแล้ว เจริญขึ้นขั้นไหน อย่างไร ธรรมทั้งหลายที่ปรากฏแล้ว ทั้งโลกิยธรรมและโลกุตรธรรม นำมาพิจารณา ก็ไม่ขัดข้อง ไม่สงสัย แต่ก็ยังไม่ได้ความ อาการป่วยจะดีขึ้นก็ไม่ใช่ จะหนักก็ไม่เชิง แต่เที่ยวบิณฑบาตได้ทุกวัน อาการที่สำคัญ คือ คอมองซ้ายมองขวายาก เดือนที่ 2 ผ่านไป อาการดีขึ้น และได้ความรู้เกิดขึ้น ซึ่งไม่เคยได้ยินได้ฟังว่า

นาญฺญตฺตร โพชฺฌาตปสา นาญฺญตตร ปฏินิสฺสคฺคา นาญฺญตฺตร อินฺทริยสํวรา

แปลได้ความว่า อิทธิบาท 4 อันอบรมดีแล้ว ก็คือ การพิจารณาโพชฌงค์ 7 นี้เอง

ท่านฯ อธิบายว่า เจริญให้มาก ทำให้มาก ก็เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้ พร้อมความดับสนิท (หมายถึงอวัยวะที่ชำรุดในร่างกาย แล้วเปลี่ยนอะไหล่ใหม่ด้วยฌาน)

แล้วท่านยังอุปมาเปรียบเทียบว่า เมื่อพระมหาโมคคัลลานะและพระมหากัสสปะได้ฟังพระดำรัสนี้ ก็หายจากอาพาธ แม้ในกาลบางคราวพระพุทธองค์ก็ยังให้พระสาวกสวดถวาย แต่คำว่า ผู้มีอิทธิบาท 4 อันเจริญดีแล้ว ขอเล่าเท่าที่จำได้ ท่านฯ ว่า

"เราพิจารณาปุพพภาคปฏิปทา ตั้งแต่จิตเรารวมเป็นสมาธิโดยลำดับ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน แล้วเข้าอรูปฌานต่อเป็นอากาสาฯลฯ จนถึง เนวฺสญฺญานาสญฺญายตน หน่อยหนึ่งก็ไม่มีแล้ว ถอยจิตออกมาอยู่ในสญฺญาเวทยิตฺนิโรธ อุปมาเหมือนหนทาง 3 แพร่ง ท่านว่า จิตเราอยู่ในท่ามกลางทาง 3 แพร่ง แพร่งหนึ่งไปอรูปพรหมโลก แพร่งหนึ่งไปรูปพรหมโลก คือ จตุตถฌาน อีกแพร่งหนึ่งเข้าสู่พระนิพพาน จิตอยู่ขั้นนี้ และเราได้อธิษฐานว่า เราจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แล้วก็ถอยจิตออกจากทาง 3 แพร่งนั้น มาพักที่จตุตถฌาน จะพักนานเท่าไรก็แล้วแต่ พอมีกำลังแล้วจิตจะถอยออกสู่ ตติยฯ ทุติยฯ พอมาถึงปฐมฌาน ก็อธิษฐานรู้ว่า เราจะอยู่ไปอีกเท่านั้นปี เท่านี้ปี"

กว่าจะมาถึงขั้นนี้ ก็เป็นเวลาเดือนสุดท้ายแห่งการจำพรรษาแล้ว

ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ ผู้ที่มีอิทธิบาทอันเจริญดีแล้ว สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เป็นกัปป์หรือเกินกว่า เป็นความจริง       

 

ท่านฯ ว่า ท้าวสักกะแก่กลายเป็นท้าวสักกะหนุ่มก็ด้วยอิทธิบาทนี้ แต่ท้าวสักกะยังมีกิเลส ไม่ได้ฌานด้วยตัวเอง แต่ด้วยพระพุทธานุภาพ ทรงนำกระแสพระทัยของท้าวสักกะ ให้ผ่านขั้นตอนจนเป็นอิทธิบาทอันเจริญดีแล้ว ที่ถ้ำอินทสาร ท้าวสักกะแก่จึงเป็นท้าวสักกะหนุ่มได้ ด้วยพระพุทธานุภาพดังนี้ ... (หลวงตาทองคำ จารุวณฺโณ)

 

7) พยากรณ์หลวงปู่เทสก์

          นอกจากองค์หลวงปู่มั่น จะได้พยากรณ์อายุขัยขององค์ท่านเองแล้ว คาดว่าท่านจะได้กล่าวถึงความเป็นไปในอนาคตของศิษย์ท่านด้วย ซึ่งองค์หลวงปู่เทสก์เอง ก็น่าจะได้รับการพยากรณ์ในคราวนั้นด้วย  ถึงแม้หลวงปู่เทสก์จะมิได้บันทึกไว้ชัดเจนว่าได้รับการพยากรณ์อย่างไร แต่มีความนัยที่ท่านได้บันทึกไว้ ตามลำดับ ดังนี้

          ... บางครั้งท่านก็พยากรณ์ลูกศิษย์ของท่านรูปนั้นบ้าง รูปนี้บ้างต่างๆ นานา ตามนิมิตและความรู้อันเกิดเองเป็นเองในภาวนาของท่าน แต่แล้วท่านก็บอกว่า อย่าได้หลงเชื่อทั้งหมด อาจผิดได้ ...

สำหรับเรานั้นตั้งตัวเป็นกลางเฉยๆ เพราะเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ไม่เหมือนกัน เรื่องนั้นมิใช่จุดประสงค์ของผู้กระทำความเพียรภาวนาอย่างแท้จริง จุดประสงค์ที่แท้จริงคือ การกำจัดกิเลสให้หมดสิ้นไปโดยไม่มีเหลือต่างหาก(พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์, 2549:70-71)

สำหรับคำพยากรณ์ที่เกี่ยวกับหลวงปู่เทสก์เองนั้น น่าจะกล่าวถึงว่าเป็น “สิ่งที่ท่านอำนวยพร” ในบริบทนี้ ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่องค์หลวงปู่มั่นเคยได้พยากรณ์ไว้ตั้งแต่หลวงปู่เทสก์กราบนมัสการองค์หลวงปู่มั่นครั้งแรก ที่เสนาสนะป่าบ้านค้อ ในปี พ.ศ. 2466 ความว่า

...คืนวันนั้นเสร็จจากการอบรมแล้วท่านก็สนทนาธรรมสากัจฉากันตามสมควร จบด้วยการพยากรณ์พระมหาปิ่นแลตัวของเราในด้านความสามารถต่างๆ นานา ตอนนี้ทำให้เรากระดากใจตนเองในท่ามกลางหมู่เพื่อนเป็นอย่างยิ่งเพราะตัวของเราเองพึ่งบวชใหม่แลมองดูตัวเราแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรพอที่ท่านจะสนใจในตัวของเรา ความจริงตั้งแต่ตอนเย็น พอย่างเข้ามาในเขตวัดของท่าน มันทำให้เราขวยเขินอยู่แล้ว แต่คนอื่นเราไม่ทราบ เพราะเห็นสถานที่แลความเป็นอยู่ของพระเณรตลอดถึงโยมในวัด เขาช่างสุภาพเรียบร้อยนี่กระไร ต่างก็มีกิจวัตรและข้อวัตรประจำวันของตนๆ พอท่านพยากรณ์พระมหาปิ่นแล้วมาพยากรณ์เราเข้า ยิ่งทำให้เรากระดากใจยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ แต่พระมหาปิ่นคงไม่มีความรู้สึกอะไรนอกจากท่านจะตรวจดูความสามารถของท่านเทียบกับคำพยากรณ์เท่านั้น...”(พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์, 2549:31-32)

ซึ่งในบริบทที่ดอยมูเซอแห่งนี้หลวงปู่เทสก์ท่านน่าจะได้เมตตาเปิดเผยความนัยแห่งพยากรณ์นั้นไว้ว่า

... ถึงแม้ท่านจะอำนวยพรให้เราอยู่ในฐานะธรรมทายาท เราก็ไม่เคยจะลืมตัวและยอมรับเลย เราถือเสียว่าความจริงมันก็อยู่แค่ความจริงนั่นแหละ หาพ้นความจริงไปได้ไม่ ...(พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์, 2549:70-71)

รวมรูปหลวงปู่มั่นเดี่ยว - OneDrive - Google Chrome
องค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ถ่ายในวันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2483 ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 7 ณ วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา ซึ่งระยะเวลาที่ถ่ายรูปนี้ อยู่ในช่วงหลังจากที่เดินทางจากวัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่ ลงมาพักยังวัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ และเดินทางมาพักยัง วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา ดังนั้นรูปนี้จึงเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ท่านจาริกในภาคเหนือ และธรรมะแจ่งแจ้งแล้ว
(รูปและข้อมูลจาก ผู้ดูแลเว็บไซต์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตมหาเถร ในบทความ "บันทึกประวัติศาสตร์ พระบูรพาจารย์")

 

8) องค์หลวงปู่มั่นปรารภกลับคืนภาคอีสาน

          ในพรรษานี้ องค์หลวงปู่มั่นได้ปรารภที่จะเริ่มอบรมหมู่คณะ ซึ่งหลวงปู่เทสก์ได้กราบเรียนว่าควรจะไปตั้งสำนักอบรมทางภาคอีสานจะเหมาะสมกว่า เนื่องจากศิษย์ส่วนใหญ่ที่ยังติดตามองค์หลวงปู่มั่น และตั้งใจถวายความสะดวกเมื่อองค์หลวงปู่มั่นกลับไปทางภาคอีสานแล้วต่างรอคอยกันเป็นอย่างมาก ซึ่งองค์หลวงปู่มั่นยังได้ปรารภถึงแถบถิ่นที่ท่านถูกธาตุขันธ์ คือ ภูเขาแถบ อ.นาแก จ.นครพนม ซึ่งการปรารภครั้งนี้เป็นการเริ่มต้น ที่ทำให้เกิดการเริ่มเตรียมการกลับคืนสู่ภาคอีสาน ใช้เวลาช่วงสุดท้ายปลายชีวิตท่านในอีก 10 ปี เพื่ออบรมศิษย์จนท่านมรณภาพดับขันธ์ โดยมีรายละเอียด ตามบันทึกอัตตโนประวัติหลวงปู่เทสก์ ดังนี้

          ...ในพรรษานี้ นอกจากท่านอาจารย์จะพยากรณ์สิ่งต่างๆ แล้ว ยังปรารภว่า ท่านยังมีภาระที่จะต้องรับหมู่คณะต่อไปอีก แล้วก็ปรารภที่จะตั้งสำนัก ทางเชียงใหม่เสนอให้เราพิจารณาอีกด้วย เราดีใจที่ท่านคิดจะรับเป็นภาระหมู่อีก แล้วเราจึงปรารภถึงคนทางภาคอีสานว่า เหมาะสมควรแก่การปฏิบัติธรรมมากกว่าทุกๆ ภาค โดยเฉพาะภาคเหนือแล้วได้ผลน้อย เราได้ชี้ให้ท่านเห็นว่า ดูแต่ท่านอาจารย์มาอยู่ทางนี้ได้ ๗ – ๘ ปีแล้ว มีใครบ้างที่ออกปฏิบัติตาม หมู่ที่ต่างๆ ท่านอาจารย์มานี้ล้วนแต่ลูกศิษย์เก่าคนภาคอีสานทั้งนั้น บัดนี้คนทางภาคอีสาน ไม่ว่าพระและฆราวาส มีเจ้าคุณธรรมเจดีย์ เป็นต้น ต่างก็พากันบ่นถึงท่านอาจารย์ กระผมมานี้ทุกคนร้องขอให้กระผมอาราธนาให้ท่านอาจารย์กลับทั้งนั้น ส่วนการจะกลับทางไหนเขายอมยินดีรับภาระทั้งหมด ขอให้กระผมบอกข่าวเขาก็แล้วกัน

แล้วท่านก็ปรารภถึงภูเขาทางอำเภอนาแก ว่าน่าอยู่น่าสบายมาก ท่านชอบภูเขาเช่นนี้ พวกเราพากันไปอยู่ทางโน้นเถอะ แต่ว่าท่านต้องเป็นนายประตูให้ผมนะ หากใครมาหาถ้าท่านเห็นไม่สมควร ขออย่าได้ปล่อยให้เข้ามาหาผม ... (พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์, 2549:74)

รูปภาพถูกใส่ลงไปแล้ว
หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร ท่านได้บันทึกเรื่องราว ณ ดอยมูเซอ ครั้นองค์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต จำพรรษาปี พ.ศ. 2479 (รูปโดย Admin)

9) ที่สมควรบำเพ็ญสมณธรรม

          องค์หลวงปู่มั่น พอใจกับความวิเวกในป่าเขา เป็นสถานที่เหมาะกับการภาวนา โดยหลวงพ่อวิริยังค์ ได้บันทึกรายละเอียดไว้ ดังนี้

... อันเสียงสัตว์เหล่านี้แม้จะดังพอสมควรเพราะมากตัว แต่ก็ยังเป็นเสียงวิเวกวังเวงอยู่นั้นเอง มันไม่เหมือนเสียงคนทะเลาะกันหรือเสียงคนเอะอะ หรือเสียงรถ เสียงเรือบิน เรือเหาะ เพราะเสียงเหล่านี้มิได้ให้เกิดวิเวกวังเวงเลย แต่มันทำให้เกิดความไม่สงบ กระทบกระเทือนสมาธิของผู้บำเพ็ญตบะธรรม

ตกเย็นถึงพลบค่ำ ฝูงนกจำนวนมากนานาพรรณมันคงจะไปหากินแล้วกลับมารวงรัง มันบินกันมาเป็นชุดๆ หลากสี จำไม่ได้ว่าเป็นนกอะไรบ้าง กลับมาแล้วก็ส่งเสียงสำเนียงต่างๆ กัน แม้เราจะไม่ยอมมอง แต่ก็ผ่านสายตาฉวัดเฉวียนเหมือนกับนกเลี้ยง เชื่องดี เสียงแหลม เสียงทุ้ม เสียงหนักเบาระงมไปรอบบริเวณ

ทำไมหนอเสียงเหล่านั้นจึงไม่เป็นภัย เมื่อเวลานั่งสมาธิ มันกลับทำให้จิตสงบเร็วขึ้นเสียอีก เสียงนกมันก็ร้องไม่ขาดระยะ แต่การทำสมาธิได้ผลขึ้นตามปกติไม่ต้องใช้ความพยายามจนเกินควร จึงหวนคิดถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า

อรญฺเญ รุกฺขมูเล วา สุญฺญาคาเรว ภิกฺขโว

ในป่า ใต้โคนไม้ เรือนว่าง เป็นที่สมควรแก่การบำเพ็ญสมณธรรมเป็นอย่างยิ่ง

ระยะนี้เป็นเวลาพลบค่ำ จำพวกจักจั่นเรไรมีมากเป็นพิเศษ มันพร้อมใจกันจริงๆ สัตว์จำพวกนี้ ช่วยกันร้องออกเป็นเสียงเดียวกัน ดังกังวานเป็นช่วงๆ แหลมคม เสียงนี้พวกเราจะหาเสียงอะไรเหมือนกับมันนั้นยากเหลือเกิน แม้พวกมันจะพูดกันไม่รู้เรื่องเหมือนมนุษย์ แต่มันก็ยังมีความสามัคคีช่วยกันในการประสานเสียง ตัวมันเล็กสักเท่านิ้วก้อย แต่มันก็มีพลังแห่งการสามัคคี รวมกันเป็นหมู่นับด้วยร้อยด้วยพัน เสียงของมันไม่แตกกันออกเสียงเดียว น่าสรรเสริญเสียงนี้ยิ่งกว่าสัตว์อื่น ยังความวังเวงให้เกิดขึ้นยิ่งกว่าเสียงใด ผู้มีจิตใจไม่แก่กล้าจริงๆ แล้ว จะต่อสู้ให้คิดถึงบ้าน แทบอยู่ไม่ได้เลยทีเดียว แต่สำหรับผู้เที่ยวธุดงค์หวังเพื่อความสงบแล้วก็ทำให้เพิ่มพลังให้เกิดความสงบยิ่งๆ ขึ้นไป ... (พระราชธรรมเจติยาจารย์, 2541:264-269)


ชาวบ้านห้วยน้ำขุ่น ชี้บริเวณที่คาดว่าเคยเป็นที่ตั้งที่พักสงฆ์ ครั้นองค์หลวงปู่มั่น ได้มาจำพรรษา ภายหลังหลวงประสิทธิ์ ปุญฺญมากโร พร้อมคณะสงฆ์ ได้เคยมาเยี่ยมชมบริเวณดังกล่าว ถ่ายเมื่อปี พ.ศ. 2555 (รูปโดย Admin)

 

10) ออกพรรษาปรารภเรื่องหมู่คณะอีกครั้ง

          ภายหลังออกพรรษาแล้ว องค์หลวงปู่มั่นได้เดินทางลงจากดอยมูเซอ ลงไปทางอำเภอพร้าว โดยหลวงปู่เทสก์และหลวงปู่อ่อนสี ยังคงอยู่ภาวนาที่ดอยมูเซอต่อไป อีกต่อมาไม่กี่วัน องค์หลวงปู่มั่น ได้กลับขึ้นมาทีดอยมูเซออีกพร้อมด้วย พระอาจารย์สาร หลวงปู่แหวน และหลวงปู่ขาว องค์หลวงปู่มั่นได้ปรารภเกี่ยวกับเรื่องการจัดตั้งสำนักสำหรับอบรมหมู่คณะอีกครั้งเช่นเดียวกับช่วงในพรรษา ซึ่งหลวงปู่เทสก์ ยังคงยืนยันตามที่ได้กราบเรียนไป ว่าควรจะคืนกลับภาคอีสาน ที่มีทั้งศิษย์ที่พร้อมดำเนินตาม และผู้ที่จะถวายความสะดวกแด่องค์หลวงปู่มั่น

          ต่อจากนั้นอีก 2 คืน องค์หลวงปู่มั่นได้จาริกไปทาง อ.แม่สาย จ.เชียงราย และจำพรรษาที่ พระธาตุดอยจอมแจ้ง อ.แม่สรวย จ.เชียงราย ในปี พ.ศ. 2480 โดยมีรายละเอียดตามบันทึกอัตตโนประวัติหลวงปู่เทสก์ ดังนี้

          ...หลังจากออกพรรษาแล้วท่านได้กลับลงมาทางอำเภอพร้าวอีก (ตามที่เพื่อนๆ เล่าให้ฟังว่า ท่านได้มาปรารภกับหมู่คณะในทำนองนั้นอีกเหมือนกัน) ส่วนเรากับท่านอ่อนสีได้ขออนุญาตท่านอาจารย์ อยู่ประกอบความเพียรในบริเวณนั้นต่อไป เพื่อให้สาสมแก่ใจอีก

ต่อมาไม่กี่วันท่านได้พาอาจารย์สาร อาจารย์แหวน อาจารย์ขาว กลับคืนมาหาเราอีก แล้วท่านก็ปรารภในการที่จะจัดตั้งสำนักรับหมู่คณะอีก เราได้ยืนกรานตามคำเดิม หากตั้งทางภาคนี้ผมไม่เห็นด้วย แต่ถึงอย่างไร ถ้าท่านอาจารย์ตั้งอยู่ทางภาคนี้จริงแล้ว หลังจากท่านอาจารย์ตั้งสำนักแล้วสามปีผมจึงจะไปช่วยเหลือ คณะของท่านอาจารย์ได้พักอยู่ด้วยสองคืนแล้วก็แยกย้ายกันไป

ท่านอาจารย์สาร อาจารย์แหวน และอาจารย์ขาว กลับลงมาอำเภอพร้าว ท่านอาจารย์มั่นกับท่านมนูเลยลงไปทางอำเภอแม่สาย จงหวัดเชียงราย แล้วจำพรรษาทางโน้นเลย ส่วนเรากับท่านอ่อนสียังพากันประกอบความเพียรอยู่ ณ ที่นั้นต่อไป เมื่อท่านแยกย้ายกันไปหมดแล้ว เรากับท่านอ่อนสีได้แยกกันอยู่คนละแห่ง คือท่านอ่อนสีอยู่ที่เดิม เราได้แยกไปอยู่ภูเขาอีกลูกหนึ่ง... (พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์, 2549:74)

 

11) สามหลวงตาตัดทางโลกไม่ขาด

          ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2477 ที่องค์หลวงปู่มั่น เริ่มจะรับศิษย์อบรมธรรม และมีผู้มาติดตามหานับตั้งแต่ท่านได้มาวิเวกทางภาคเหนือยังมีเรื่องราวของ “สามหลวงตา” ที่ถึงแม้จะได้พยายามติดตามหาท่านมานาน แต่ก็ยังตัดโลกได้ไม่ขาด เมื่อโดนองค์หลวงปู่มั่นเตือนก็พากันหวาดผวา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่สละทางโลกมาแล้ว จนได้ตามมาพบผู้ทรงคุณขนาดนี้ จากบันทึกประวัติองค์หลวงปู่มั่น โดยหลวงพ่อวิริยังค์ ได้กล่าวรายละเอียดไว้ ดังนี้

          .... เมื่อท่านพักอยู่บนภูเขากับพวกมูเซอ ในจังหวัดเชียงใหม่ มีพระหลวงตา (หมายถึงผู้มีครอบครัวแล้วถึงบวช) 3 องค์ ได้พยายามติดตามถามข่าวหาท่านอาจารย์มั่นฯ อยู่ถึง 3 ปี จึงได้ข่าวว่าอยู่บนภูเขากับพวกมูเซอ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อรู้ชัดแน่แล้วจึงรีบไปเพื่อที่จะได้พบท่านทั้ง 3 หลวงตาก็เดินทางปีนป่ายภูเขาขึ้นอย่างความตั้งใจจริง ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากแต่ประการใด เพราะตั้งใจมานานแล้ว พึ่งจะใกล้ความสำเร็จ ซึ่งทั้ง 3 หลวงตาคงจะเข้าใจว่า เมื่อพบท่านแล้วคงจะได้ธรรมแสงสว่างไม่ยากนัก จึงได้อุตส่าห์ติดตามเป็นเวลานาน ก็พอดีเป็นเวลาเย็นประมาณบ่าย 5 โมง จึงได้ถึงสถานที่อาจารย์มั่นฯ อยู่ เมื่อถึงแล้วก็เข้าไปนมัสการท่าน ท่านกำลังฉันน้ำร้อนอยู่ มีพระเณรอยู่ด้วย 2-3 องค์ คอยปรนนิบัติอยู่ เมื่อหลวงตาทั้ง 3 กราบแล้วท่านก็ถามว่า เธอตามหาเรามานานแล้ว วันนี้มาจากไหน สามหลวงตาก็งงเป็นที่สุดว่าท่านรู้ได้อย่างไร และก็ตอบพร้อมกันว่า วันนี้มาจากอำเภอสันทราย แล้วท่านก็ให้พระไปจัดสถานที่อยู่ให้ตามจะพึงมี

จำเดิมแต่นั้นหลวงตาทั้งสามก็พยายามปฏิบัติตามโอวาทของท่านอยู่อย่างเต็มความสามารถ ทั้งสามหลวงตาเล่าว่า ไม่ว่าพวกฉันจะนึกอยากฟังธรรมข้อใด ท่านจะต้องเทศน์ธรรมข้อนั้นให้ฟังโดยไม่ต้องออกปากถามเลย ฉันอัศจรรย์ใจจริง แต่....อยู่มาวันหนึ่ง ทั้งสามได้ไปนั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่งามมาก หลังหินเสมอเรียบดี พวกเราก็นั่งประชุมสนทนากัน ก็พูดถึงเรื่องทางบ้านว่า ป่านนี้ภรรยาของเราอยู่กันอย่างไรหนอ ลูกของฉันมี 4 คน ลูกหญิงเป็นสาวยังไม่ได้แต่งงานเลย อีกองค์ก็พูดว่า ภรรยาน่ากลัวจะไปมีผัวใหม่ อาจจะทิ้งลูกเสียก็ได้และก็พูดกันหลายอย่างเป็นเวลากว่าชั่วโมง ทุกองค์ก็ต่างกลับมา แต่ก็มิได้อาลัยในคำพูดเหล่านั้นดอก พูดแล้วก็แล้วกันไป

แต่ที่ไหนได้ท่านอาจารย์มั่น ฯ ได้รู้เรื่องราวของเราหมด และในวันนั้นก็ได้มีพระภิกษุสามเณรทุกแห่งที่อยู่แถวใกล้ๆ นั้นมาประชุมกันหมด ท่านก็ยกเอาเรื่องทั้งสามหลวงตาขึ้นมาพูดในท่ามกลางบริษัทว่า

“ ดูสิ ทั้งสามหลวงตานี่ อุตส่าห์มาอยู่ป่า บวชแล้วยังคิดถึงมาตุคามลูกเมีย มันจะมีประโยชน์อะไรที่จะมาอยู่ในกลางป่าเช่นนี้ ซึ่งไม่ควรเลย น่าอับอายท่านผู้รู้ นี่แน่ะ หลวงตา เธอเป็นพระกี่เปอร์เซ็นต์”

เท่านั้นเองพวกเราทั้งสามอายเพื่อนอย่างหนัก นั่งก้มหน้า เมื่อเลิกประชุมแล้วพวกเราทั้งสามก็ร้อนไปหมด จึงเป็นอันว่าพวกเราอยู่ไม่ไหว คืนนั้นประมาณเที่ยงคืนพวกเราก็เก็บบาตรกลดหนีกันทั้งคืน ปากก็พูดว่า อรหํ ๆ ๆ ทั้งเดินหนีไปมิได้อำลาท่านเลย โดยมิได้คำนึงว่าทางที่เดินมานั้นมีทั้งหมีทั้งเสือทั่วไป แต่พวกเรากลัวท่านอาจารย์มั่นฯ มากกว่าเสืออีก.... (พระราชธรรมเจติยาจารย์, 2541:191-192)

อ้างอิง
ดำรง ภู่ระย้า, หลวงปู่อ่อนสี สุเมโธ, นิตยสารโลกทิพย์ (ฉบับที่ 76 ปีที่ 5) มีนาคม (ฉบับแรก), 2529.
พระบวร พุทฺธญาโณ, ใต้จิตสำนึก หลวงปู่ขาว อนาลโย, คณะศิษยานุศิษย์วัดถ้ำกลองเพล : อุดรธานี, 2532.
พระราชธรรมเจติยาจารย์ (วิริยังค์ สิรินฺธโร), ประวัติพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ (ฉบับสมบูรณ์), สถาบันพลังจิตตานุภาพ : กรุงเทพฯ, 2541.
พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (เทสก์ เทสรังสี), อัตตโนประวัติพระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์(เทสก์ เทสรังสี), ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพฯ, พ.ศ.2539
พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (เทสก์ เทสรังสี), โครงการหนังสือบูรพาจารย์เล่มที่ 10, รศ.ดร.ปฐม-ภัทรา นิคมานนท์ : กรุงเทพฯ, 2548.
มูลนิธิหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, อนุสรณ์หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ, โรงพิมพ์มูลนิธินวมราชานุสรณ์ : นครนายก, มปพ.
พระญาณวิริยะ, ประวัติย่อ พระอาจารย์มั่นฯ ในหนังสือที่ระลึกงานฌาปนกิจ นางพุ่ม งามเอก พ.ศ.2520
ธรรมค้ำคูณ พระครูวิมลภาวนาคุณ (หลวงพ่อคูณ สุเมโธ) วัดป่าภูทอง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี โดยคณะศิษยานุศิษย์, พ.ศ. 2556.
พระครูจิตตภาวนานุสิฐ (หลวงปู่สมหมาย จิตฺตปาโล) โดย คณะศิษยานุศิษย์, พ.ศ.2563.
บทความ "ประวัติพุทโธหายบนดอยม่อนล้าน" โดย ส.กวีวัฒน์ จากหนังสือ จารึกไว้ในล้านนา พ.ศ.2563.
ชีวประวัติย่อ หลวงปู่เสถียร คุณวโร วัดถ้ำพระภูวัว อ.เซกา จ.บึงกาฬ โดย คณะศิษยานุศิษย์, พ.ศ.2555.
บทความ "วัดหลวงปู่มั่นที่ดอยน้ำขุ่นหายไปไหน" โดย ส.กวีวัฒน์ จากหนังสือ จารึกไว้ในล้านนา พ.ศ.2563.
Admin แฟนพันธุ์แท้ศิษย์หลวงปู่มั่น และ www.luangpumun.org บทความ ป่าเมี่ยงในประวัติหลวงปู่มั่น พ.ศ.2565 https://www.facebook.com/100039176607158/posts/pfbid026o6sw9Tuar95XFsZBA5DobFPYavePp9Ezk9kkGPMD4bfooiZpmi2ApQMRWxov3Fvl/?mibextid=Nif5oz

แสดงความเห็น  >>คลิ๊กที่นี่<<

< ตอนก่อนหน้า : ตอนต่อไป >